Date : 24/03/2021
สมาร์ทโฟนกล้อง 108MP มีจอ AMOLED 120Hz บวกพลังชาร์จ 33W กับลำโพงคู่ บนบอดี้สวยหรู ในราคาไม่ถึง 9 พันบาท
24 มีนาคม 2021 - ตั้งแต่เข้าสู่ปี 2021 Xiaomi ก็เปิดตัวสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ออกมาอย่างต่อเนื่องแบบไม่ให้พักหายใจ เมื่อเร็ว ๆ นี้ก็เพิ่งจะมีการวางจำหน่าย Xiaomi Mi 11 ไปหมาด ๆ แต่ Xiaomi ก็ยังส่งสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ลงตลาดต่อเกือบจะทันที โดยคราวนี้เป็นสมาร์ทโฟนสเปกดีราคาย่อมเยาอย่าง Redmi Note 10 Pro ซึ่งเราได้นำมารีวิวให้ทุกท่านได้ชมกันในวันนี้ครับ
Redmi Note 10 Pro ยังคงคอนเซ็ปต์ความเป็น Redmi อยู่เหมือนเดิมด้วยสเปกที่จัดเต็มคุ้มราคา แต่ครั้งนี้เพิ่มความพรีเมียมขึ้นโดยเลือกใช้หน้าจอแสดงผลแบบ AMOLED ที่ให้สีสันสดใสกว่าจอ IPS LCD และประหยัดพลังงานกว่า โดยมีขนาดอยู่ที่ 6.67 นิ้ว ความละเอียดระดับ FHD+ พร้อมรองรับมาตรฐานการแสดงผลแบบ HDR10, รองรับขอบเขตสีแบบ DCI-P3 ได้ 100% และยังรองรับอัตราการรีเฟรชสูงสุดที่ 120Hz ซึ่งเรามักจะไม่ค่อยได้เห็นคุณภาพของหน้าจอที่สูงขนาดนี้ในกลุ่มมือถือราคาต่ำกว่าหมื่นบาท
ในเชิงประสิทธิภาพ Redmi Note 10 Pro ประมวลผลด้วยชิปเซ็ต Qualcomm Snapdragon 732G ซึ่งเป็นชิปเซ็ตระดับกลางรุ่นใหม่ และเป็นรุ่นเดียวกับที่ใช้ใน POCO X3 NFC จึงมีประสิทธิภาพสูงพอที่จะรองรับการใช้งานได้อย่างรอบด้าน ตั้งแต่การใช้งานทั่ว ๆ ไป จนถึงการเล่นเกมที่ต้องรีดเค้นพลังการประมวลผล โดยมีแบตเตอรี่ความจุ 5020 mAh เป็นแหล่งจ่ายพลังงาน สามารถรองรับการใช้งานได้ตลอดทั้งวัน อีกทั้งยังชาร์จได้อย่างรวดเร็วด้วยเทคโนโลยีชาร์จไว 33W
ส่วนด้านการถ่ายรูป Redmi Note 10 Pro ก็จัดมาให้อย่างดี โดยเป็นชุดกล้องหลัง 4 ตัวที่มีกล้องหลักความละเอียดสูงถึง 108 ล้านพิกเซล พร้อมด้วยกล้องเสริมต่าง ๆ ครบครัน ไม่ว่าจะเป็นกล้อง Ultra Wide ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล, กล้อง Telemacro ความละเอียด 5 ล้านพิกเซล และกล้อง Depth ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล จึงสามารถถ่ายรูปได้ครบทุกระยะทั้งใกล้, ไกล และกว้าง พร้อมโหมดการถ่ายภาพต่าง ๆ ครบครัน รวมไปถึงลูกเล่นสนุก ๆ อย่าง Photo Clones
คุณสมบัติทั้งหมดข้างต้น ทำให้ Redmi Note 10 Pro เป็นมือถือราคาหลักพันที่หลายคนให้ความสนใจอยู่ในตอนนี้ แต่ Redmi Note 10 Pro จะมอบประสบการณ์ในการใช้งานจริงได้ดีเหมือนคุณสมบัติที่ใส่มาให้หรือไม่ เราไปติดตามพร้อมกันใน รีวิว Redmi Note 10 Pro โดยทีมงาน Thaimobilecenter ได้เลยครับ
รูปลักษณ์ภายนอกตัวเครื่อง และการออกแบบดีไซน์
ตัวเครื่องด้านหน้าของ Redmi Note 10 Pro เป็นหน้าจอแสดงผล AMOLED ขนาด 6.67 นิ้ว ความละเอียดระดับ FHD+ รองรับอัตราการรีเฟรชสูงสุด 120Hz, รองรับขอบเขตสี DCI-P3 100% และรองรับมาตรฐานการแสดงผล HDR10 รูกล้องหน้าอยู่ถูกจัดวางอยู่ตรงกลาง มีความละเอียด 16 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.45
ตัวเครื่องด้านหลังเป็นสีพื้นขัดผิวด้านที่ครอบทับด้วยกระจกเงาวาวอีกที ดูสวยงามแบบพอดี ๆ ไม่หวือหวา สำหรับเครื่องที่นำมารีวิวในครั้งนี้เป็นสีดำ Onyx Gray
ชุดกล้องหลังของ Redmi Note 10 Pro มีดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์ แตกต่างไปจากสมาร์ทโฟนทั่วไป โดยประกอบไปด้วยกล้อง 4 ตัว (Quad Camera) ดังนี้
- กล้อง Wide ความละเอียด 108 ล้านพิกเซล พร้อมเซนเซอร์รับภาพ Samsung HM2 ขนาด 1/1.52 นิ้ว, เม็ดพิกเซลขนาด 0.7 ไมครอน (หรือ 2.1 ไมครอน แบบ 9-in-1 Super Pixel) และรูรับแสงขนาด f1.9
- กล้อง Ultra Wide ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล พร้อมมุมรับภาพ 118 องศา และรูรับแสงขนาด f2.2
- กล้อง Telemacro ความละเอียด 5 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f2.4, ระยะซูม 2 เท่า และระบบโฟกัสอัตโนมัติ
- กล้อง Depth ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f2.4
ปุ่ม Power และปุ่มปรับระดับเสียงจะอยู่ที่ขอบด้านขวา โดยปุ่ม Power จะทำหน้าที่เป็นเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือด้วย
ส่วนด้านซ้ายจะเป็นที่อยู่ของช่องใส่ซิมการ์ด
ด้านล่างของตัวเครื่องมีพอร์ตเชื่อมต่อ USB Type-C, ไมโครโฟน และช่องลำโพง
ส่วนด้านบนมีเซ็นเซอร์ IR Blaster, ไมโครโฟนตัดเสียงรบกวน และช่องลำโพงอีกด้าน พร้อมกันนี้ยังมีช่องหูฟัง 3.5 มิลลิเมตรด้วย
ถาดใส่ซิมการ์ดของ Redmi Note 10 Pro เป็นแบบ Triple Slot รองรับการ์ดหน่วยความจำ microSD
สำหรับอุปกรณ์อื่น ๆ ที่ให้มาในกล่อง ประกอบด้วย เคสใส, เข็มจิ้มซิม, คู่มือการใช้งาน, สายชาร์จ USB Type-C และอแดปเตอร์ชาร์จ 33W
เคสใสที่ให้มาสามารถสวมเข้ากับตัวเครื่องได้พอดี และไม่หนาจนเกินไป มีจุกปิดพอร์ต USB กันน้ำเข้า อีกทั้งยังถอดทำความสะอาดง่ายด้วย
เปิดเครื่องใช้งาน พร้อมทดสอบฟีเจอร์ต่างๆ ที่มีติดตั้งมาให้ในเครื่อง
Redmi Note 10 Pro มาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ Android 11 ครอบทับด้วย MIUI 12 สำหรับรุ่นที่นำมารีวิวในครั้งนี้เป็นรุ่นความจุ 128GB
หน้าเริ่มต้นมีดีไซน์เรียบง่าย เว้นระยะห่างระหว่างไอคอนต่าง ๆ ได้อย่างลงตัว ไม่อึดอัด ตามไสตล์ของ MIUI
เมื่อปัดจากด้านบนลงมาจะพบกับ แผงแจ้งเตือน ที่รวมการแจ้งเตือนจากแอปพลิเคชันต่าง ๆ และ แถบเมนูลัด ที่รวมฟังก์ชันใช้บ่อยเอาไว้ด้วยกันเพื่อให้ง่ายต่อการใช้งาน
Redmi Note 10 Pro มาพร้อมกับชุดแอปพลิเคชันเครื่องมือพื้นฐาน และแอปพลิเคชันของ Google ครบครัน
สำหรับฟังก์ชันพื้นฐานอย่างการโทรศัพท์นั้นมีการออกแบบอินเทอร์เฟซให้ดูสะอาด และใช้งานง่าย
เมื่อกดปุ่ม แอปล่าสุด บนแถบนำทาง จะแสดงแอปพลิเคชันที่เปิดทิ้งไว้ทั้งหมด สามารถเลือกสลับแอปขึ้นมาใช้งาน หรือปัดหน้าต่างไปด้านข้างเพื่อปิดแอปก็ได้
เมื่อกดค้างบนที่ว่างของหน้าจอหลัก จะเข้าสู่โหมดการปรับแต่งหน้าจอ ซึ่งผู้ใช้สามารถย้าย หรือลบแอปพลิเคชันหลายตัวพร้อมกันได้ นอกจากนี้ยังสามารถจัดเรียงแถวของแอปพลิเคชัน, เปลี่ยนแอนิเมชันการสลับหน้า, เปลี่ยนหน้าเริ่มต้น และอื่น ๆ
MIUI 12 ยังเปิดโอกาสให้ผู้ใช้เปลี่ยนแถบนำทางด้านล่างเป็นแบบปุ่ม หรือแบบท่าทางได้ตามถนัด
รวมไปถึงการปรับขนาดของไอคอนแอป และลักษณะการจัดเรียกรายการในหน้าแอปล่าสุด
ส่วนวิดเจ็ตต่าง ๆ ก็มีให้ใช้งานหลากหลายเช่นกัน
Xiaomi ก็เหมือนกับสมาร์ทโฟนแบรนด์อื่น ๆ ที่มีสโตร์ขายวอลเปเปอร์และธีมเป็นของตัวเอง ทุกรายการสามารถดาวน์โหลดได้ฟรี สำหรับรายการที่เป็นพรีเมียมอาจต้องดูโฆษณาก่อนจึงจะดาวน์โหลดได้
สังเกตว่าอินเทอร์เฟซ MIUI ของ Xiaomi จะมีการแทรกโฆษณาอยู่ทั่วไปในแอปพลิเคชันของระบบ ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ Xiaomi สามารถตั้งราคาสมาร์ทโฟนต่ำกว่าคู่แข่งได้ แต่จริง ๆ แล้วเราสามารถปิดการแสดงโฆษณาเหล่านี้ได้ในหน้าการตั้งค่าของแอปพลิเคชันนั้น ๆ
Redmi Note 10 Pro มีโหมดกลางคืนให้ใช้งาน ซึ่งจะเปลี่ยนธีมเป็นสีดำเพื่อให้ใช้งานในที่มืดได้โดยไม่ปวดตา โดยสามารถตั้งเวลาเปิด/ปิดอัตโนมัติได้ด้วย
สำหรับ จอแสดงผลแบบเปิดตลอด หรือ Always-On-Display เป็นการแสดงภาพ, เวลา และรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ขณะปิดหน้าจอ ช่วยให้ดูเวลา, แบตเตอรีที่เหลืออยู่ และแจ้งเตือนบางอย่างได้โดยไม่ต้องเปิดหน้าจอ ผู้ใช้สามารถเปลี่ยนรูปแบบการแสดงผลของ Always-On-Display ได้หลายแบบตามต้องการ
ผู้ใช้สามารถปรับแต่งโทนสีของหน้าจอได้อย่างอิสระ แต่โทนสีดั้งเดิมที่มาจากโรงงานนั้นเป็นกลาง และสมจริงอยู่แล้ว จึงอาจมองข้ามการตั้งค่าในส่วนนี้ไปก็ได้
Redmi Note 10 Pro รองรับอัตรารีเฟรชหน้าจอ 120Hz ซึ่งสามารถเข้าไปเปิดใช้งานได้ในการตั้งค่า แต่จะทำให้กินแบตเตอรีมากขึ้นเล็กน้อย
นอกจากนี้ Redmi Note 10 Pro รวมถึงขนาดของตัวอักษรก็ปรับให้เล็ก-ใหญ่ตามใจชอบได้เช่นกัน
MIUI 12 มาพร้อมกับแอปพลิเคชันสำหรับจัดการไฟล์ในเครื่อง ไม่ว่าจะเป็นรูปภาพ, เพลง, ไฟล์ APK หรือไฟล์ใด ๆ ก็ตาม สามารถค้นหาและจัดระเบียบได้ง่ายโดยไม่จำเป็นต้องดาวน์โหลดแอปภายนอกมาใช้
สำหรับระบบรักษาความปลอดภัย Redmi Note 10 Pro รองรับทั้งการสแกนลายนิ้วมือ และการสแกนใบหน้า โดยตำแหน่งของเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือจะอยู่บนหน้าจอ
ในเมนู คุณลักษณะพิเศษ จะรวมฟีเจอร์อื่น ๆ นอกเหนือจากการตั้งค่าทั่วไป Game Turbo ซึ่งเป็นฟีเจอร์ช่วยเหลือในการเล่นเกมก็อยู่ในนี้เช่นกัน
เมนู พื้นที่ทับซ้อน เป็นฟีเจอร์สำหรับสร้างพื้นที่ในการใช้งานใหม่ที่แยกจากพื้นที่เดิม ไฟล์ และแอปพลิเคชันของแต่ละพื้นที่จะแยกกันต่างหาก เสมือนว่าเรามีโทรศัพท์ 2 เครื่องในเครื่องเดียวนั่นเอง เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการแยกพื้นที่การใช้งานส่วนตัว และการทำงานออกจากกันโดยไม่ต้องซื้อมือถือใหม่อีกเครื่อง
แอปพลิเคชัน ความปลอดภัย เป็นแอปพลิเคชันของ MIUI 12 ที่ช่วยจัดการปัญหาจิปาถะต่าง ๆ โดยอัตโนมัติ เช่น ล้างไฟล์ขยะ, เคลียร์ RAM, ค้นหาและปิดแอปที่ใช้พลังงานมาก เป็นต้น
เมนู ตัวทำความสะอาด จะสแกน และลบไฟล์ขยะออกจากเครื่องให้เราโดยอัตโนมัติ เพื่อให้มีที่ว่างในหน่วยความจำมากขึ้น การลบไฟล์เหล่านี้ไม่ส่งผลต่อการทำงานของระบบแต่อย่างใด
เมนู สแกนด้านความปลอดภัย จะตรวจสอบหาช่องโหว่ด้านความปลอดภัยในเบื้องต้น และแนะนำวิธีการตั้งค่าที่เหมาะสม
เมนู แบตเตอรี จะแสดงสถานะของแบตเตอรี และสถิติการใช้งานตั้งแต่การชาร์จเต็มครั้งสุดท้าย รวมถึงแนะนำการตั้งค่าเพื่อยืดระยะเวลาการใช้งาน นอกจากนี้ยังสามารถเปิดโหมดประหยัดแบตเตอรีที่จะตัดฟังก์ชันบางอย่างออก เพื่อยืดระยะเวลาการใช้งานให้นานขึ้น
เมนู เพิ่มความเร็ว จะแสดงปริมาณของหน่วยความจำ RAM ที่ถูกใช้งานอยู่ในขณะนั้น สามารถกด เพิ่มความเร็ว เพื่อเคลียร์หน่วยความจำทั้งหมดได้ แต่แอปพลิเคชันที่เปิดค้างไว้อาจต้องเริ่มทำงานใหม่ตั้งแต่ต้นเมื่อสลับขึ้นมาใช้งาน
เมนู แอปโคลน เป็นฟีเจอร์ที่สามารถโคลนแอปพลิเคชันโซเชียลมีเดีย เช่น Facebook หรือ LINE เพื่อให้ผู้ใช้เล่นได้ 2 บัญชีในเครื่องเดียว เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการแยกบัญชีการทำงาน กับบัญชีส่วนตัวออกจากกัน โดยไม่ต้องกลัวว่าจะเผลอโพสต์ผิดบัญชี
เมนู ล็อกแอป เป็นฟีเจอร์สำหรับล็อกแอปพลิเคชันด้วยรหัสผ่าน, ลายนิ้วมือ หรือใบหน้า ช่วยปกป้องความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ได้อีกชั้น
เมนู แก้ปัญหา จะเป็นการตรวจสอบความผิดปกติของสมาร์ทโฟนในเบื้องต้น ทำให้เราทราบอาการแบบคร่าว ๆ ได้โดยไม่ต้องเข้าศูนย์
และเมนู ทดสอบเครือข่าย จะตรวจสอบความเร็วของอินเทอร์เน็ตที่เรากำลังใช้งานอยู่ในขณะนั้น พร้อมทั้งบอกด้วยว่าแอปพลิเคชันใดดาวน์โหลด/อัปโหลดดาต้าไปเท่าไหร่
รูปถ่าย และวิดีโอ จะถูกเก็บไว้ใน คลังภาพ ซึ่งจะแสดงผลแยกเป็นรายวัน หรือจะเลือกให้แสดงเป็นอัลบั้มก็ได้เช่นกัน
นอกจากจะดูรูปแล้ว ยังสามารถแต่งรูปได้ด้วย ไม่ว่าจะเป็นการตัดภาพ, แต่งสี, ปรับความสว่าง, ใส่ฟิลเตอร์ หรือแม้กระทั่งเปลี่ยนท้องฟ้าในภาพ
สำหรับการฟังเพลง Redmi Note 10 Pro มีแอปพลิเคชันพื้นฐานของตัวเองอยู่แล้ว ตัวแอปพลิเคชันไม่ได้แตกต่างจากแอปเล่นเพลงทั่วไป แต่ที่น่าสนใจคือสามารถตัดเพลงได้ด้วย ซึ่งช่วยให้เราตัดเฉพาะท่อนฮุคเพื่อใช้เป็นริงโทนได้ง่าย ๆ โดยไม่ต้องนำไฟล์เข้าคอมพิวเตอร์ แล้วตัดต่อเองให้วุ่นวาย
ส่วนการเล่นวิดีโอ Redmi Note 10 Pro ก็มีแอปพลิเคชันพื้นฐานอยู่แล้วเช่นกัน พร้อมเครื่องมือเสริมอย่างการล็อกการสัมผัสหน้าจอ, บันทึกสกรีนช็อต และแคสต์ภาพขึ้นอุปกรณ์อื่น เป็นต้น
สามารถเลือกขนาด และสีสันของซับไตเติ้ลได้ (ถ้ามี)
และสามารถปรับความเร็วในการเล่น รวมถึงการเล่นซ้ำได้ด้วย (ไม่ซ้ำ, ซ้ำทั้งเพลย์ลิสต์, ซ้ำเพลงเดียว)
คราวนี้เรามาดูในส่วนของการเล่นเกมกันบ้างครับ Redmi Note 10 Pro มีฟีเจอร์ช่วยเหลือขณะเล่นเกมที่เรียกว่า Game Turbo ขณะที่อยู่ในเกม ผู้ใช้สามารถเรียกเมนูลัดของ Game Turbo ขึ้นมาได้จากมุมซ้ายบนของหน้าจอ ซึ่งจะมีเมนูสำหรับบันทึกภาพสกรีนช็อต, บันทึกวิดีโอการเล่น, เคลียร์ RAM ด่วน, เปิด/ปิดการแสดงแจ้งเตือน รวมถึงสามารถเปิดแอปอื่น ๆ ขึ้นมาเป็นหน้าต่างลอยได้ นอกจากนี้ยังบอกสถานะการทำงานของ CPU, GPU และค่าเฟรมเรตด้วย
ในการทดสอบประสิทธิภาพการเล่นเกมของ Redmi Note 10 Pro เราได้เลือกใช้เกมยอดนิยมที่มีกราฟิกระดับกลางถึงระดับสูง ได้แก่ Genshin Imapct, PUBG Mobile, และ LoL : Wild Rift โดย มีการตั้งค่ากราฟิกไว้ดังนี้ :
การตั้งค่ากราฟิกเกม Genshin Impact
การตั้งค่ากราฟิกเกม PUBG Mobile
การตั้งค่ากราฟิกเกม LoL : Wild Rift
หลังจากที่เราได้ลองเล่นทั้ง 3 เกมอย่างต่อเนื่องประมาณ 2 ชั่วโมง สามารถบอกได้ว่า Redmi Note 10 Pro ไม่ทำให้ผิดหวัง จริง ๆ ในฐานะสมาร์ทโฟนราคาประหยัด ชิปเซ็ตประมวลผล Qualcomm Snapdragon 732G กับหน่วยประมวลผลกราฟิก Adreno 618 ภายในเครื่องสามารถรับมือกับเกมระดับกลาง ณ ปัจจุบันได้เป็นอย่างดี บางเกมสามารถเปิดโหมดเฟรมเรตสูงได้ด้วย แม้กระทั่งเกมที่มีกราฟิกระดับสูงอย่าง Genshin Impact ก็ยังเล่นได้ค่อนข้างลื่นในระดับที่ไม่หงุดหงิด ส่วนเกมแนว FPS ที่ต้องเคลื่อนที่ และเล็งเป้าอยู่ตลอดเวลาก็ทำได้อย่างแม่นยำ ไม่มีอาการหลอน ในการเล่นเกมทั่วไป ตัวเครื่องมีการสะสมความร้อนเล็กน้อย ยกเว้นเกม Genshin Impact ที่เครื่องจะร้อนเป็นพิเศษเมื่อเล่นไปสักพัก โดยรวมถือว่า Redmi Note 10 Pro เป็นสมาร์ทโฟนระดับกลางที่เล่นเกมได้ดีเมื่อเทียบกับราคาครับ
Redmi Note 10 Pro ใช้ชิปเซ็ตประมวลผล Qualcomm Snapdragon 732G แบบ 8-แกน (Octa-Core) ที่มีความเร็วในการประมวลผลสูงสุดที่ 2.3 GHz มีหน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) Adreno 618, หน่วยความจำแรม RAM ขนาด 6 GB และหน่วยความจำภายใน (ROM) ขนาด 128 GB
Redmi Note 10 Pro วัดค่า benchmark จากแอปพลิเคชัน AnTuTu ได้ 286014 คะแนน และจากแอปพลิเคชัน PCMark ในชุดทดสอบ Work 2.0 Performance ได้ 8706 คะแนน
สำหรับเซ็นเซอร์ในเครื่อง Redmi Note 10 Pro นั้นประกอบด้วย Accelerometer Sensor, Light Sensor, Orientation Sensor, Proximity Sensor, Gyroscope Sensor, Sound Sensor, Magnetic Sensor และ Pressure Sensor ส่วนหน้าจอแสดงผลรองรับการสัมผัสได้พร้อมกันอย่างน้อย 10 จุด
ระบบ GPS สามารถจับสัญญาณดาวเทียมในที่กลางแจ้งได้ดี โดยจากภาพตัวอย่างจะเห็นว่าจับสัญญาณดาวเทียมได้ทั้งหมด 45 ดวง และมีความแม่นยำในระดับบวกลบ 7 เมตร แต่อย่างไรก็ดีคุณภาพของสัญญาณดาวเทียม GPS ขึ้นอยู่กับพื้นที่และสภาพอากาศด้วย ซึ่งอาจแตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่และช่วงเวลา
การใช้งานกล้องสำหรับถ่ายภาพ และวิดีโอ
ในโหมดรูปถ่าย หรือโหมดอัตโนมัติ มี AI วิเคราะห์ภาพถ่ายที่จะระบุประเภทของวัตถุในเฟรม และตกแต่งรูปถ่ายให้เหมาะสมโดยอัตโนมัติ และมีปุ่มลัดสำหรับการซูมให้เรียกใช้งานได้อย่างรวดเร็ว สำหรับโหมด Ultra Wide จะอยู่ที่การซูมระยะ 0.6 เท่า นอกจากนี้ ยังสามารถเปิดใช้เอฟเฟกต์บิวตี้ และใส่ฟิลเตอร์ได้ คล้ายกับในโหมดภาพถ่ายบุคคล หรือ Portrait
สำหรับฟังก์ชันอื่น ๆ สามารถเรียกดูได้โดยกดที่ไอคอน 3 ขีดบริเวณมุมขวาบน ซึ่งได้แก่ ปรับสัดส่วนของรูปถ่าย, ตั้งเวลาถ่าย, แสดงตารางจุดตัด 9 ช่อง, แสดงเส้นปรับระดับ เป็นต้น โดยโหมดซูเปอร์มาโครจะอยู่ในส่วนนี้
ในโหมดภาพบุคคล หรือ Portrait สามารถปรับความเบลอของฉากหลัง, เปิดบิวตี้ และใส่ฟิลเตอร์ได้ แต่ที่พิเศษกว่าการถ่ายด้วยโหมดอัตโนมัติคือมีลูกเล่นเอฟเฟกต์ภาพยนตร์ให้ใช้คู่กับฟิลเตอร์ด้วย
ใน โหมดโปร เราสามารถตั้งค่ากล้องได้ด้วยตนเอง ได้แก่ค่า White Balance (2000K-8000K), ระยะโฟกัส, Shutter Speed (1/4000-30s), ISO (สูงสุด 6400), ชดเชยแสงได้สูงสุด ±4, เลือกใช้เลนส์ Ultra Wide หรือ Macro และใส่ฟิลเตอร์ เหมาะสำหรับผู้ที่มีทักษะการถ่ายรูปอยู่แล้ว
สำหรับ โหมดกลางคืน เป็นโหมดที่จะทำให้ภาพถ่ายกลางคืนสว่างขึ้น และมีรายละเอียดมากขึ้น แต่ถ่ายได้เฉพาะกล้องหลักที่ระยะซูม 1 หรือ 2 เท่าไม่สามารถถ่ายในมุมมอง Ultra Wide หรือ Macro ได้
อีกลูกเล่นหนึ่งที่น่าสนใจคือ โหมดการเปิดรับแสงนาน ที่ช่วยให้เราถ่ายรูปเส้นแสง, รูปดาวบนฟ้า หรือรูปถ่ายที่แสดงการเคลื่อนไหวของฝูงชนได้ง่าย ๆ โดยไม่จำเป็นต้องมีขาตั้งกล้อง
และที่ไม่พูดถึงไม่ได้คือ โหมดโคลน ที่ทำให้ถ่ายรูปแบบแยกร่างได้สูงสุด 4 คน เป็นอีกหนึ่งลูกเล่นสนุก ๆ ของสมาร์ทโฟน Redmi และ Xiaomi ครับ
สำหรับการบันทึกวิดีโอ Redmi Note 10 Pro สามารถบันทึกได้ที่ความละเอียดสูงสุด 4K ที่ 30 fps สามารถเปิดใช้ฟิลเตอร์ และเอฟเฟกต์บิวตี้ (ฟรุ้งฟริ้ง) ได้ อีกทั้งยังถ่ายวิดีโอแบบซูเปอร์มาโครได้ด้วย
อีกโหมดหนึ่งที่น่าสนใจคือ VLOG ที่จะใส่เอฟเฟกต์การตัดต่อเท่ ๆ ให้กับวิดีโอของเราโดยอัตโนมัติ พร้อมดนตรีประกอบ โดยมีให้เลือกหลายรูปแบบ และใช้งานไม่ยาก
นอกจากนี้ ยังมีโหมดการถ่ายภาพและวิดีโอที่น่าสนใจอีกหลายโหมด ไม่ว่าจะเป็นสโลว์โมชัน หรือพานอรามาเป็นต้น
ในส่วนของกล้องหน้า มีฟีเจอร์ต่าง ๆ ให้ใช้งานเหมือนกับกล้องหลัง ไม่ว่าจะเป็นเอฟเฟกต์บิวตี้, ฟิลเตอร์ หรือเอฟเฟกต์ภาพยนตร์
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหลัง 4 ตัว ความละเอียด 108+8+5+2 ล้านพิกเซล
ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมดอัตโนมัติ
ตัวอย่างภาพถ่ายมุมกว้างพิเศษ (Ultra Wide)
ตัวอย่างภาพถ่ายมาโคร (Super Macro)
ตัวอย่างภาพถ่ายบุคคล (Portrait)
ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมดกลางคืน (Night Mode 2.0)
ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมด Long Exposure
ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมด Clone
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหน้า ความละเอียด 16 ล้านพิกเซล
สรุปผลการทดสอบของ Redmi Note 10 Pro
สำหรับ Redmi Note 10 Pro จุดเด่นอันดับต้น ๆ ที่หลายคนให้ความสนใจสำหรับรุ่นนี้คือการใส่จอ AMOLED ที่มีค่า Refresh Rate ระดับ 120Hz เข้ามา ซึ่งไม่เคยมีมาก่อนในสมาร์ทโฟนระดับเริ่มต้นของ Xiaomi หรือ Redmi ทำให้ประสบการณ์การใช้งานโดยรวมดีขึ้น อีกทั้งยังประหยัดพลังงานกว่าจอ IPS LCD เมื่อใช้ฟีเจอร์ Always-On Display และ Dark Mode ถึงแม้ว่า Redmi Note 10 Pro จะไม่ใช่สมาร์ทโฟนราคาย่อมเยาเพียงรุ่นเดียวที่ให้จอ AMOLED แต่ด้วยสเปกที่ค่อนข้างสูง ก็ทำให้สมาร์ทโฟนรุ่นนี้น่าใช้ไม่น้อยไปกว่าคู่แข่งเลย
ตัวเครื่องได้รับการออกแบบมาให้จับถือได้ถนัดมือ มีน้ำหนักกำลังดี และมาพร้อมกับเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือบนปุ่ม Power ที่ด้านข้างตัวเครื่อง ซึ่งสามารถสแกนได้อย่างรวดเร็วทันใจ นอกจากนี้ดีไซน์ของโมดูลกล้องหลังก็มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร และค่อนข้างนูน โดยนูนขึ้นมา 2 ระดับแบบขั้นบันได ดังนั้นหากวางเครื่องนอนลงบนพื้นก็อาจเกิดรอยขีดข่วนบนตัวกล้องได้ อีกทั้งฝาหลังที่เป็นกระจกเงาอาจทำให้ผิวสัมผัสค่อนข้างลื่น และเป็นรอยนิ้วมือง่าย อย่างไรก็ดีการนำเคสมาใส่ครอบไว้อีกชั้นก็สามารถช่วยในเรื่องนี้ได้
สำหรับการถ่ายรูป ชุดกล้องหลังของ Redmi Note 10 Pro เป็นชุดมาตรฐานที่เราเห็นกันอยู่บ่อย ๆ ในปัจจุบัน ซึ่งประกอบด้วยกล้องหลัก (Wide), กล้องมุมกว้าง (Ultra Wide) สำหรับถ่ายภาพมุมกว้างพิเศษ, กล้อง Telemacro สำหรับถ่ายรูปในระยะใกล้ และกล้อง Depth สำหรับช่วยวัดระยะเพื่อช่วยในการถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอ โดยจุดขายสำคัญของกล้องชุดนี้อยู่ที่เซนเซอร์รับภาพ Samsung HM2 ที่มีความละเอียดสูงถึง 108 ล้านพิกเซล ซึ่งสามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีการรวมพิกเซลแบบ 9-in-1 Super Pixel ทำให้ได้รูปถ่ายที่มีความคมชัดยิ่งขึ้น คุณภาพของรูปถ่ายโดยรวมอยู่ในเกณฑ์ดี โดยมีสีสันค่อนข้างสด และเบลอฉากหลังได้อย่างแนบเนียน แต่ยังมีบางจังหวะที่วัดแสงพลาดบ้าง ส่วนกล้องหน้าก็ทำได้ค่อนข้างดี และมีเอฟเฟกต์ให้เล่นเยอะ รวม ๆ แล้วกล้องของ Redmi Note 10 Pro จะไม่ทำให้ผิดหวังอย่างแน่นอน
Redmi Note 10 Pro มีลูกเล่นการถ่ายภาพเยอะมากสำหรับสมาร์ทโฟนในระดับราคานี้ ไม่ว่าจะเป็นโหมดโปร, โหมดกลางคืน, โหมดเปิดหน้ากล้องค้าง หรือ Long Exposure ที่มีเอฟเฟกต์ให้เลือกใช้ถึง 6 แบบ ถ่ายได้ทั้งแสงไฟ, ดาว, ไฟเส้น และอื่น ๆ รวมทั้งโหมด VLOG ที่ช่วยสร้างเอฟเฟกต์ตัดต่อสวย ๆ ให้กับวิดีโอ, โหมดวิดีโอคู่ หรือ Dual Video ที่น่าจะเหมาะกับการถ่ายทำคอนเทนต์พาเที่ยว ไปจนถึงโหมดโคลนที่ช่วยให้เราแยกร่างตัวแบบให้มีหลายคนได้ในภาพเดียว เป็นต้น เรียกได้ว่าเครื่องเดียวถ่ายได้ทุกอย่าง
นอกจากการถ่ายรูปทั่วไป จุดเด่นของกล้อง Redmi Note 10 Pro คือโหมด Super Macro ที่มีระบบโฟกัสอัตโนมัติ (Autofocus) ต่างจากกล้อง Macro ของสมาร์ทโฟนรุ่นอื่นในตลาด ช่วยให้ถ่ายง่ายขึ้น และได้ภาพที่คมกว่าเดิม อีกทั้งคุณภาพของรูปถ่ายยังใกล้เคียงกับกล้องหลักอีกด้วย
ด้านการเล่นเกม ในแง่ของสมรรถนะ Redmi Note 10 Pro สามารถรันเกมระดับกลางได้ดี เพราะชิปเซ็ตประมวลผล Qualcomm Snapdragon 732G และหน่วยประมวลผลกราฟิก Adreno 618 เป็นชิปเซ็ตรุ่นใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวได้ไม่นาน และมีประสิทธิภาพค่อนข้างสูงอยู่แล้ว แถมยังมีหน้าจอ AMOLED และลำโพงคู่ ที่ช่วยเสริมประสบการณ์การเล่นเกมให้ดียิ่งขึ้นอีกในระดับหนึ่ง โดยรวมแล้วให้ความรู้สึกในการเล่นที่ดีกว่าสมาร์ทโฟนรุ่นอื่นที่มีราคาใกล้เคียงกัน
สำหรับแบตเตอรี่ความจุ 5,020 mAh มีความอึดพอสมควร หากไม่เล่นเกมหนัก ๆ อย่าง Genshin Impact หรือถ่ายรูป-ถ่ายวิดีโอนาน ๆ สามารถอยู่จนหมดวันได้สบาย ๆ และยังชาร์จได้อย่างรวดเร็วด้วยกำลังไฟ 33W ซึ่งมีอแดปเตอร์มาให้ในกล่องแล้วเรียบร้อย จึงไม่มีอะไรที่ต้องกังวล
จากทั้งหมดที่กล่าวมานี้ ทางทีมงานเห็นว่า Redmi Note 10 Pro เป็นสมาร์ทโฟนที่มีสเปกดีคุ้มค่าราคา ตอบโจทย์การทำงานได้ทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นการถ่ายรูป, ถ่ายวิดีโอ, เล่นเกม, ดูหนัง และอื่น ๆ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการสมาร์ทโฟนฟีเจอร์ครบ ๆ สเปกแรง ๆ สักเครื่องในราคาไม่เกิน 9,000 บาทครับ
สำหรับผู้ที่สนใจเป็นเจ้าของ Redmi Note 10 Pro จะมีให้เลือก 2 รุ่นความจุ ได้แก่รุ่น RAM 6GB + ROM 128GB ในราคา 8,499 บาท และรุ่น RAM 8GB + ROM 128GB ในราคา 8,999 บาท โดยจะเริ่มวางจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 19 มีนาคม 2564 เป็นต้นไป
สุดท้ายนี้ ต้องขอขอบคุณร้าน IKKYU Yakiniku สาขาพหลโยธิน ที่เอื้อเฟื้อสถานที่ถ่ายภาพ และ Xiaomi (ประเทศไทย) ที่ให้ความไว้วางใจส่งเครื่อง Redmi Note 10 Pro มาให้ทางทีมงานได้รีวิวกันในโอกาสนี้ด้วยครับ
จุดเด่นของ Redmi Note 10 Pro
- ดีไซน์แบบ 3D Curved Glass พร้อมขนาดตัวเครื่องที่ 164 x 76.5 x 8.1 มิลลิเมตร และมีน้ำหนัก 193 กรัม
- ตัวเครื่องมีคุณสมบัติของการป้องกันน้ำกระเซ็น และป้องกันฝุ่น ในระดับ IP53
- หน้าจอแสดงผล AMOLED DotDisplay (8-bit) ขนาด 6.67 นิ้ว ความละเอียดระดับ FHD+ (2400x1080 พิกเซล : 395 ppi) พร้อมอัตราการรีเฟรชสูงสุด 120Hz, ค่า Touch Sampling Rate สูงสุด 240Hz, การแสดงผลคอนเทนต์แบบ HDR10, รองรับขอบเขตสี DCI-P3 ได้ 100%, ได้มาตรฐาน SGS Eye Care Display, ค่าความสว่างสูงสุด 1200 nits, Reading Mode 2.0, Sunlight Mode 2.0 และครอบทับด้วยกระจก Corning Gorilla Glass 5
- เซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือด้านข้างตัวเครื่อง (Arc Side Fingerprint Sensor) พร้อมฟังก์ชัน AI Face Unlock
- ชิปเซ็ตประมวลผล Qualcomm Snapdragon 732G แบบ Octa-Core ที่มีความเร็ว 2.48 GHz
- หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) Adreno 618
- หน่วยความจำแรม (RAM) แบบ LPDDR4X ขนาด 6 GB หรือ 8 GB (LPDDR4x)
- หน่วยความจำภายใน (ROM) แบบ UFS 2.2 ขนาด 128 GB
- รองรับการ์ดหน่วยความจำเสริมแบบ microSD
- ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android 11 พร้อมครอบทับด้วย MIUI 12
กล้องด้านหลัง 4 ตัว (Quad Camera) ประกอบด้วย
> กล้อง Wide ความละเอียด 108 ล้านพิกเซล พร้อมเซนเซอร์รับภาพ Samsung HM2 ขนาด 1/1.52 นิ้ว, เม็ดพิกเซลขนาด 0.7 ไมครอน (หรือ 2.1 ไมครอน แบบ 9-in-1 Super Pixel) และรูรับแสงขนาด f1.9
> กล้อง Ultra Wide ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล พร้อมมุมรับภาพ 118 องศา และรูรับแสงขนาด f2.2
> กล้อง Telemacro ความละเอียด 5 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f2.4, ระยะซูม 2 เท่า และระบบโฟกัสอัตโนมัติ
> กล้อง Depth ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f2.4
พร้อม RAW Multi-Frame, Night Mode 2.0, Dual Native ISO, Pro Time-Lapse, Video Clones, Telemacro Time-Lapse, Freeze Frame, Dual Video, ShootSteady, AI Portrait, Long Exposure และรองรับการถ่ายวิดีโอที่ความละเอียดสูงสุดระดับ UHD 4K (30fps)
กล้องด้านหน้าความละเอียด 16 ล้านพิกเซล
พร้อมดีไซน์ Small Dot ด้วยขนาดรูกล้องเพียง 2.96 มิลลิเมตร, รูรับแสงขนาด f2.45, Selfie Night Mode, AI Beautify, AI Portrait และรองรับการถ่ายวิดีโอที่ความละเอียดสูงสุดระดับ FHD 1080P (30fps)
- แบตเตอรี่ความจุ 5,020 mAh พร้อมเทคโนโลยีชาร์จแบตเตอรี่ความเร็วสูงแบบ 33W Fast Charging (ชาร์จแบตเตอรี่ได้ 59% ในเวลา 30 นาที)
- ลำโพงเสียงแบบคู่ พร้อมรองรับไฟล์เสียงความละเอียดสูง (Hi-Res Audio)
- ฟีเจอร์ Game Turbo ที่สามารถเร่งการประมวลผลตัวเกม ให้เร็วขึ้น พร้อมกับบล็อกการแจ้งเตือน Pop-up ต่าง ๆ รวมถึงการล็อกระดับความสว่างของหน้าจอขณะเล่นเกม
- รองรับเทคโนโลยีเชื่อมต่อ Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac (2.4/5 GHz) และ Bluetooth 5.1
- รองรับการนำทางด้วยระบบดาวเทียม GPS (L1), Galileo (E1), Glonass (L1) และ Beidou (B1)
- รองรับการใช้งานแบบ 2 ซิมการ์ด (Dual nanoSIM) ด้วยถาดแบบ Triple Slot
- พอร์ตหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตร
- มอเตอร์ระบบสั่นแบบ Z-Axis Linear Motor
- เซนเซอร์ตรวจจับแสง (Ambient Light Sensor) แบบ 360 องศา
- เซนเซอร์ Proximity, Accelerometer, Electronic Compass, Gyroscope และ IR Blaster
- ราคา 8,499 บาท (รุ่น 6+128GB) กับ 8,999 บาท (รุ่น 8+128GB) ถือว่าเป็นราคาที่คุ้มค่าเมื่อเทียบกับคุณสมบัติโดยรวม
จุดที่อาจจะต้องพิจารณาเพิ่มเติมของ Redmi Note 10 Pro
- ตัวเครื่องมีฝาหลังเป็นกระจก ทำให้ผิวสัมผัสลื่น และเป็นรอยนิ้วมือได้ง่าย
- อินเทอร์เฟซ MIUI 12 มีโฆษณาแทรกอยู่ทั่วไป (แต่สามารถปิดได้)
- ไม่รองรับการใช้งานกับเครือข่าย 5G
โปรดทราบ
* โทรศัพท์มือถือที่ท่านเห็นในบทความรีวิวนี้ เป็นเครื่องทดสอบจากผู้ผลิต ดังนั้นคุณสมบัติบางอย่างอาจแตกต่างจากเครื่องที่วางจำหน่ายจริง รวมถึงจุดด้อยบางประการที่พบในเครื่องทดสอบ อาจถูกแก้ไขให้ดีขึ้นแล้วในเครื่องที่วางจำหน่ายจริง ดังนั้นหากท่านสนใจซื้อโทรศัพท์มือถือรุ่นนี้ ควรตรวจสอบ หรือทดลองใช้งานสินค้าด้วยตนเองอีกครั้งหนึ่งเพื่อความมั่นใจ *
วันที่ : 24/03/2021
รีวิว Redmi Note 10 Pro สมาร์ทโฟนกล้อง 108MP มีจอ AMOLED 120Hz บวกพลังชาร์จ 33W กับลำโพงคู่ บนบอดี้สวยหรู ในราคาไม่ถึง 9 พันบาท - thaimobilecenter
Read More
No comments:
Post a Comment