ระหว่างรอการเปิดตัว iPhone 13 ในปีนี้ วันนี้ทีมงาน iphone-droid.net จะพาทุกคนย้อนไปดูตำนาน iPhone 2G รุ่นแรกจนถึงปัจจุบัน iPhone 12 series ไปดูกันว่าแต่ละรุ่นมีอะไรน่าสนใจบ้าง
iPhone 2G (1st generation) ปี 2007
iPhone 2G เป็นสมาร์ทโฟนเครื่องแรกที่ออกแบบให้ใช้งานด้วยการสัมผัสหน้าจอแสดงผลได้ ก่อนที่จะถึงวันเปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันที่ 29 มิถุนายน 2550 มีข่าวลือออกมามายมายเกี่ยวกับสเปกและคุณสมบัติของ iPhone 2G พร้อมทั้งวันเปิดตัวที่บอกว่าจะเปิดตัวในวันที่ 9 มกราคม 2550 ซึ่งมันก็ไม่เป็นความจริง
iPhone 2G เป็นสมาร์ทโฟนที่มีรูปร่างเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า วิธีการจะทำงานผ่านหน้าจอแสดงผลด้วยการสัมผัสซึ่งถือว่าเป็นเรื่องใหม่มากในยุคสมัยนั้น iPhone 2G รอบรับการทำงานแบบ GPRS EDGE และสนับสนุนการถ่ายโอนข้อมูล iPhone 2G เป็นสมาร์ทโฟนรุ่นเดียวจากค่าย Apple ที่ทำงานบนเครือข่าย EDGE 2G
iPhone 3G ปี 2008
iPhone 3G เป็นสมาร์ทโฟนรุ่นที่ 2 ของ Apple ที่ได้มีการปรับปรุงและพัฒนาเพื่อลบข้อด้อยของ iPhone 2G ที่ถูกหลายค่ายผู้ผลิตนำไปโจมตี โดยเปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2551 ในงาน WWDDC 2008 ที่ศูนย์ประชุม Moscone Center ในเมืองซานฟรานซิสโก
iPhone 3G กล้องถ่ายรูปความละเอียด 2 ล้านพิกเซลเหมือนกับรุ่น iPhone 2G ขุมพลังที่ใช้ใน iPhone 3G ยังคงเป็น Samsung 32-bit RISC ARM มาพร้อมกับแรมขนาด 128MB แบบ eDRAM หน่วยความจำภายในมีให้เลือก 2 แบบคือ 8GB และ 16GB แต่ที่ทำให้ iPhone 3G มีความโดดเด่นมากในช่วงเวลานั้นก็คือ เป็นสมาร์ทโฟนที่สนับสนุนการเชื่อมต่อ โครงข่าย 3G และ Tri – band UMTS/HSDPA อย่างแท้จริง
iPhone 3GS ปี 2009
iPhone 3GS เป็นสมาร์ทโฟนรุ่นที่ 3 ในตระกูล iPhone ซึ่ง iPhone 3GS ได้มีการพัฒนาและต่อยอดจาก iPhone 3G เปิดตัวเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2552 ในงาน WWDC 2009 จัดขึ้นที่ศูนย์ประชุม Moscone Center เมืองซานฟรานซิสโก ในช่วงแรก Apple เลือกใช้ชื่อรุ่นเป็น “iPhone 3G S” ต่อมาได้มีการเปลี่ยนเป็น “iPhone 3GS”
เราจะเห็นว่าชื่อรุ่นที่ทาง Apple ตั้งมาสำหรับ iPhone นั้นมีความหมายในตัวเหมือนกับ “3GS” ตัวอักษร “S” ย่อมาจาก Speed หรือความเร็ว นอกจากการปรับปรุงประสิทธิภาพให้ทำงานด้วยความเร็วที่มากขึ้นด้วยการเปลี่ยนชิปเซ็ตรุ่นใหม่เป็น RM Cortex-A8 และหันมาใช้แรมแบบ DRAM ขนาด 256MB
หน้าจอแสดงผลแม้จะมีขนาด 3.5 นิ้วเท่าเดิมแต่ได้เปลี่ยนแผงหน้าจอแสดงผลใหม่เป็นแบบ LCD 24 Bit นอกจากนั้นยังมีการอัพเกรดความละเอียดของกล้องจากความละเอียด 2 ล้านพิกเซลเป็น 3 ล้านพิกเซล พร้อมกับบันทึกวิดีโอความละเอียด 480p
iPhone 4 ปี 2010
iPhone 4 เป็นสมาร์ตโฟนรุ่นที่ 4 ในตระกูล iPhone เป็น iPhone รุ่นแรกที่ถูกออกแบบมาให้รอบรับการใช้งานด้านมัลติมีเดียมากยิ่งขึ้น โดยความสามารถส่วนใหญ่จะเน้นในเรื่องของความบันเทิง เช่น ดูวิดีโอ, ฟังเพลง, เล่นเกม และ อินเทอร์เน็ต ประกาศอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2553 ในงาน WWDC 2010
iPhone 4 มีสิ่งที่แตกต่างจาก iPhone รุ่นก่อนหลายด้าน เริ่มจากการออกแบบใหม่เกือบทั้งหมด วัสดุที่ใช้ทำโครงสร้างและกรอบนั้นเป็นสเตนเลนสตีลไร้ฉนวนซึ่งทำหน้าที่เป็นเสาอากาศของเครื่อง และกระจกหน้าจอสัมผัสเป็นกระจกชนิดพิเศษที่มีความแข็งแรงโดยนำกระจกชนิดอลูมิโนซิลิเกต (aluminosilicate glass) มาประกบหน้าหลังเพื่อเพิ่มความแข็งแรงให้กับตัวเครื่อง
iPhone 4 เป็น iPhone รุ่นแรกที่ใช้ขุมพลังเป็นชิปเซ็ตที่ผลิตจาก Apple โดยชิปเซ็ตนี้ชื่อว่า A4 ซึ่งก่อนหน้านี้ iPhone เลือกใช้ชิปเซ็ตของ Samsung มาพร้อมกับแรมขนาด 512MB แบบ DRAM หน่วยความจำภายในมีให้เลือก 3 แบบคือ 8 GB, 16 GB และ 32 GB หน้าจอแสดงผลมีขนาด 3.5 นิ้ว แบบ LED backlit IPS TFT LCD (Retina Display) ความละเอียด 960×640 พิกเซล
และเป็นครั้งแรกกับสมาร์ทโฟนที่มีกล้องถ่ายรูปข้างหน้าและข้างหลังในเครื่องเดียวกัน แน่นอนว่าในยุคสมัยนั้นเป็นเรื่องที่ใหม่มาก iPhone 4 มีความละเอียดของกล้องถ่ายรูปด้านหน้าอยู่ที่ 0.3 ล้านพิกเซล บันทึกวิดีโอความละเอียด 480p ได้ ส่วนกล้องถ่ายรูปด้านหลังมีความละเอียด 5 ล้านพิกเซล บันทึกวิดีโอได้ความละเอียด 720p
จุดเด่นที่ทำให้ iPhone 4 กลายเป็นสมาร์ทโฟนที่ทันสมัยที่สุดในเวลานั้นก็คือการมีฟีเจอร์ FaceTime คือการสนทนาแบบเห็นหน้ากันได้เลยซึ่งในยุคสมัยนั้นถือว่าเป็นเรื่องใหม่สุดๆ ในยุคสมัยนี้เราจะเรียกวิธีนี้ว่า วิดีโอคอล (Video call) แต่การใช้ฟีเจอร์ FaceTime นั้นจำเป็นต้องเชื่อมต่อ Wi-Fi ถึงจะใช้งานฟีเจอร์นี้ได้ และมีข้อแม้อีกอย่างหนึ่งคือคนที่เราจะโทรไปหานั้นต้องใช้ iPhone 4 ด้วยถึงจะใช้ฟีเจอร์ FaceTime ได้
iPhone 4S ปี 2011
iPhone 4S เป็นสมาร์ทโฟนถ้านับจำนวนรุ่นคือรุ่นที่ 5 ของตระกูล iPhone แน่นอนว่าปีนี้ Apple ได้ทำสิ่งที่แตกต่างออกไปนั้นคือเปิดตัว iPhone มากกว่า 1 รุ่นภายในปีเดียวกัน เปิดตัวเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2554 ในงาน Let’s talk iPhone ณ สำนักงานใหญ่แอปเปิล เมืองคูเปอร์ทิโน่ เป็นรุ่นที่พัฒนาและปรับปรุงมาจาก iPhone 4 ซึ่งภายนอกมีลักษณะไม่แตกต่างกันมากนัก
สิ่งที่ได้รับการแก้ไขใน iPhone 4S นั้นก็คือปัญหาเรื่องของสัญญาณที่ไม่เสถียรที่เกิดขึ้นกับ iPhone 4 ในส่วนของระบบประมวลผลได้เปลี่ยนไปใช้ชิปเซ็ต Apple A5 แต่มีหน่วยความจำภายในเพิ่มขึ้นมาอีกรุ่นหนึ่งคือ 64GB พร้อมกับเพิ่มความสามารถของกล้องถ่ายรูปด้านหลังให้มีความละเอียดในการถ่ายรูปสูงถึง 8 ล้านพิกเซลและบันทึกวิดีโอความละเอียดสูง 1080p เลยทีเดียว
iPhone 5 ปี 2012
iPhone 5 เป็นสมาร์ทโฟนที่เริ่มทีการเปลี่ยนแปลงในด้านของรูปทรงให้บางขึ้นมาพร้อมกับวัสดุที่ดูแล้วทำให้ iPhone เป็นทรัพย์สินที่มีค่าคู่ควรกับเครื่องประดับราคาแพงได้เลย ถ้านับตามรุ่นแล้ว iPhone 5 จะเป็นสมาร์ทโฟนรุ่นที่ 6 ในตระกูล iPhone เปิดตัวเมื่อวันที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2555
iPhone 5 เป็นสมาร์ทโฟนที่มีการนิยมงานมากที่สุดเมื่อเทียบกับ 5 รุ่นที่ผ่านมา ขุมพลังที่ใช้ใน iPhone 5 จะเป็นชิปเซ็ต Apple A6 1.3 GHz dual core แรมขนาด 1GB หน่วยความจำมีให้เลือก 3 แบบคือ 16GB, 32GB และ 64GB
ความละเอียดของกล้องถ่ายรูปด้านหลังเหมือนกับ iPhone 4S แต่ที่เพิ่มเข้ามาคือกล้องถ่ายรูปด้านหน้าที่มีความละเอียดมากขึ้นอยู่ที่ 1.2 ล้านพิกเซล และบันทึกวิดีโอความละเอียดสูง 720p อีกทั้งยังเป็น iPhone เครื่องแรกที่รองรับการทำงานแบบ LTE หรือ 4G นั่นเอง
หน้าจอแสดงผลของ iPhone 5 นั้นถูกเพิ่มขนาดให้กว้างขึ้นจากเดิม iPhone 4 จะมีหน้าจอแสดงผลขนาด 3.5 นิ้วแต่ใน iPhone 5 มีหน้าจอแสดงผลขนาด 4 นิ้ว ความละเอียดสูงถึง 1,136 × 640 พิกเซล และเป็นครั้งแรกที่ Apple ตัดสินเปิดตัวพอร์ต Lightning ซึ่งกำลังจะมาเปลี่ยนเรื่องราวในอนาคตแบบที่หลายคนในยุคนั้นไม่คิดว่ามันจะเกิดขึ้น
iPhone 5S ปี 2013
iPhone 5S เป็นสมาร์ทโฟนรุ่นที่ 7 ในตระกูล iPhone โดย iPhone 5S เปิดตัวพร้อมกับ iPhone 5C ซึ่งเป็นรุ่นประหยัด เมื่อวันที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2556 รูปลักษณะภายนอกจะเหมือนกับ iPhone 5 แต่สิ่งที่เพิ่มเติมเข้ามาคือความสามารถในการบันทึกวิดีโอความละเอียดสูง 720p 120 เฟรม ซึ่งมาพร้อมกับโหมด slow-motion ในการบันทึกวิดีโอด้วย และ Dual Flash LED ช่วยเพิ่มแสงให้เราสามารถถ่ายรูปในช่วงเวลากลางคืนได้ และในรุ่นนี้ Apple ได้เพิ่มสีทอง ให้เป็นตัวเลือกสำหรับผู้ใช้งานเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งสี จากเดิมที่มีแค่สีขาวกับสีดำ
แม้ว่ากล้องถ่ายรูปของ iPhone 5S จะมีความละเอียด 8 ล้านพิกเซลเท่ากับ iPhone 5 แต่มีการปรับปรุงรูรับแสงให้กว้างจาก f/2.4 เป็น f/2.2 นอกจากนี้ยังมี Flash LED ระบบ “True Tone” ที่ใช้แสง LED สีอำพันและสีขาว ฉายพร้อมกันในสัดส่วนที่ต่างกันตามที่เครื่องวัดได้ตรวจสอบสภาพแสงโดยรอบ เพื่อให้แสง Flash LED ที่ออกมา มีความเหมาะสมกับอุณหภูมิสีของแสงในสภาพสิ่งแวดล้อมรอบตัวมากยิ่งขึ้น และเราได้รู้จักเทคโนโลยีสแกนลายนิ้วมือ Touch ID จาก iPhone 5S
iPhone 5C ปี 2013
iPhone 5C เป็นสมาร์ทโฟนรุ่นที่ 8 ในตระกูล iPhone เปิดตัวพร้อมกับ iPhone 5S ในวันที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2556 ความแตกต่างของ iPhone 5C และ iPhone 5S นั้นอยู่ที่ขุมพลังและหน่วยความจำภายในที่แตกต่างกัน โดย iPhone 5C ใช้ชิปเซ็ต A6 แต่ iPhone 5S ใช้ชิปเซ็ต A7 หน่วยความจำของ iPhone 5S และความสามารถของกล้องหลังของ iPhone 5C นั้นจะเหมือนกับ iPhone 5 อย่างที่รู้กันว่า iPhone 5S มีความสามารถในการบันทึกวิดีโอ 720p 120 เฟรม เพิ่มเข้ามา ถึงแม้จะเปิดตัวพร้อมกับแต่ iPhone 5C ก็ไม่มี Touch ID เหมือนกับ iPhone 5S
iPhone 6 series ปี 2014
iPhone 6 และ iPhone 6 Plus เป็นสมาร์ทโฟนรุ่นที่ 8 และที่ 9 ในตระกูล iPhone เปิดตัวครั้งแรกในวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2557 iPhone 6 และ iPhone 6 Plus ได้รับการปรับปรุงให้มีหน้าจอแสดงผลที่ใหญ่ขึ้น
- iPhone 6 มีหน้าจอแสดงผล 4.7 นิ้ว ความละเอียด 1,334 x 750 พิกเซล
- iPhone 6 Plus มีหน้าจอแสดงผล 5 นิ้ว ความละเอียด 1,920 x 1,080 พิกเซล
iPhone 6 และ iPhone 6 Plus มีหน่วยประมวลผลที่เร็วขึ้นกว่ารุ่นก่อนโดยใช้ชิปเซ็ตรุ่นใหม่ A8 ทั้ง 2 รุ่นมีการปรับปรุงการเชื่อมต่อแบบ LTE และ Wi-Fi ให้ดีขึ้น และสนับสนุนสำหรับการชำระเงินบนมือถือแบบ NFC พร้อมกับมีการปรับปรุงกล้องให้มีความสามารถในการบันทึกวิดีโอให้มากขึ้น โดยกล้องถ่ายรูปด้านหลังถึงแม้จะมีความละเอียดเท่าเดิมคือ 8 ล้านพิกเซลแต่มีความสามารถในการบันทึกวิดีโอที่ละเอียดขึ้นคือ 1080p 60 เฟรม 720p 120 เฟรม และ 720p 240 เฟรม แน่นอนว่ามาพร้อมกับโหมด slow-motion
iPhone 6 และ iPhone 6 Plus ได้สร้างสถิติใหม่ด้วยยอดการสั่งจองล่วงหน้าในระยะเวลา 24 ชั่วโมงมียอดการสั่งซื้อมากกว่า 4 ล้านเครื่อง และภายใน 3 วันแรกหลังจากเปิดตัว iPhone ทั้ง 2 รุ่นมียอดขายมากกว่า 10 ล้านเครื่อง ซึ่งเป็นอีกหนึ่งหน้าประวัติศาสตร์ของ Apple ที่ต้องบันทึกไว้
iPhone 6S series ปี 2015
iPhone 6S และ iPhone 6S Plus เป็นสมาร์ทโฟนรุ่นที่ 10 และ 11 ในตระกูล iPhone หลังจากที่ Apple ประสบความสำเร็จในการจัดจำหน่าย iPhone 6 และ iPhone 6 Plus
Apple เลือกที่จะใช้ชื่อ iPhone 6S กับ iPhone รุ่นใหม่ในการเปิดตัวเพื่อเป็นการสานต่อความสำเร็จของ iPhone 6 โดยให้ชื่อรุ่นว่า iPhone 6S และ iPhone 6S Plus
iPhone 6S และ iPhone 6S Plus เปิดตัวเมื่อวันที่ 9 กันยายน 2558 สิ่งที่เพิ่มเข้ามาสำหรับ iPhone รุ่นใหม่ทั้ง 2 รุ่นนี้คือสีของตัวเครื่องที่ Apple ได้เพิ่มเข้ามาหนึ่งสีคือ สีทองกุหลาบ (โรสโกลด์) จากเดิมที่มีสีเงิน สีเทาสเปซเกรย์ และสีทอง
iPhone 6S และ iPhone 6S Plus มีการออกแบบคล้ายคลึงกับ iPhone 6 แต่สิ่งที่ทาง Apple ได้มีการการปรับเปลี่ยนก็คือวัสดุที่ใช้ในการผลิตให้มีคุณสมบัติที่แข็งแรงมากยิ่งขึ้น ชิปเซ็ตรุ่นใหม่ A9 และมีการเพิ่มความสามารถของกล้องถ่ายรูปด้านหลังจาก 8 ล้านพิกเซลเป็น 12 ล้านพิกเซล โดยสามารถถ่ายวิดีโอความละเอียด 4K ส่วนกล้องหน้าจากความละเอียด 1.2 ล้านพิกเซล เป็นความละเอียด 5 ล้านพิกเซล นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติพิเศษเพิ่มเข้ามาคือระบบสัมผัสแบบ 3D Touch
iPhone SE ปี 2016
iPhone SE เป็นสมาร์ทโฟนรุ่นที่ 12 ของตระกูล iPhone เปิดตัวเมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2559 มีแรงบัลดาลใจในการพัฒนาต่อยอดมาจาก iPhone 5S โดยมีขนาดหน้าจอแสดงผลอยู่ที่ 4 นิ้ว และมีรูปลักษณ์ภายนอกเหมือนกับ iPhone 5S เกือบทั้งหมด แต่สิ่งที่แตกต่างจาก iPhone 5S ก็คือฮาร์ดแวร์ที่นำฮาร์ดแวร์ของ iPhone 6S มาใส่ไว้ใน iPhone SE ถ้ามองให้เห็นภาพมากขึ้นก็คือ iPhone 5S ที่อัพเกรดฮาร์ดแวร์รุ่นใหม่ของ iPhone 6S จะมีที่แตกต่างก็คือกล้องหน้าที่มีความละเอียดเพียง 1.2 ล้านพิกเซล แต่ใน iPhone 6S มีความละเอียด 5 ล้านพิกเซล
iPhone 7 series ปี 2016
iPhone 7 และ iPhone 7 plus เป็นสมาร์ทโฟนเป็นรุ่นที่ 13 และ 14 ของตระกูล iPhone เปิดตัววันที่ 7 กันยายน 2559 ในรุ่นนี้เพิ่มสีดำด้าน และสีดำเงาเพิ่มเข้ามาอีก ด้านความสามารถของ iPhone ทั้ง 2 รุ่นนี้ที่เพิ่มเข้ามาก็คือความสามารถในการป้องกันน้ำและป้องกันฝุ่นตามมาตรฐาน IP67 และชิปเซ็ตรุ่นใหม่ A10 Fusion
เป็นครั้งแรกที่ Apple ตัดสินใจนำแจ็คหูฟัง 3.5 มม. ออกจาก iPhone และใช้พอร์ต lightning ในการเชื่อมต่อหูฟังแทน นอกจากนี้ในรุ่น iPhone 7 Plus ยังมีการปรับปรุงกล้องถ่ายรูปด้านหน้าให้มีความละเอียดมากขึ้นจากความละเอียด 5 ล้านพิกเซลเป็น 7 ล้านพิกเซล ส่วนกล้องถ่ายรูปด้านหลังมีความละเอียดเท่ากับ iPhone 6S แต่มีการเพิ่มเลนส์สำหรับการถ่ายรูปเข้าไปอีก 6 เลนส์ รูรับแสง f/1.8 แต่สำหรับ iPhone 7 Plus นั้นได้มีการเพิ่มกล้องถ่ายรูปคู่ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล มาพร้อมกับเลนส์ telephoto ทำให้สามารถซูมแบบ optical zoom ได้ 2 เท่า และซูมแบบ digital zoom ได้ 10 เท่า รูรับแสง f/2.8
iPhone 8 series ปี 2017
iPhone 8 และ iPhone 8 Plus เป็นสมาร์ทโฟนรุ่นที่ 15 และ 16 ของตระกูล iPhone เปิดตัววันที่ 12 กันยายน 2560 พร้อมกับ iPhone X สมาร์ทโฟนระดับ Hi-End
iPhone 8 และ iPhone 8 Plus มีการออกแบบที่เหมือนกับ iPhone 7 และ iPhone 7 Plus สิ่งที่แตกต่างออกไปก็คือการเพิ่มกระจกนิรภัยทั้งด้านหน้าและด้านหลังทำให้ iPhone 8 และ iPhone 8 Plus มีความแข็งแรงมากยิ่งขึ้น แต่ฟีเจอร์ที่น่าสนใจอย่างมากก็คือ การชาร์จแบบไร้สาย นอกจากนั้นยังมีการเพิ่มความสามารถของกล้องถ่ายรูปให้สามารถถ่ายรูปในโหมดที่หลากหลายขึ้นและใช้ชิปเซ็ตรุ่นใหม่ระดับ Apple A11 Bionic ที่ช่วยให้การทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพและใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ให้น้อยที่สุด
iPhone X ปี 2017
iPhone X (X อ่านว่า “เท็น” ที่มีความหมายคือ 10) เป็นสมาร์ทโฟนรุ่นที่ 17 ของตระกูล iPhone เปิดตัววันที่ 12 กันยายน 2560
iPhone X ถูกยกให้เป็นสมาร์ทโฟนระดับ Hi-End ที่มีเทคโนโลยีอันล้ำสมัย โดยออกแบบหน้าจอแสดงผลแบบ OLED ขนาด 5.8 นิ้ว มีความละเอียด 2,436 × 1,125 พิกเซล ดีไซน์ให้มีขอบจอที่เล็กลง ตัดปุ่มด้านหน้าของเครื่องออกเพื่อเพิ่มพื้นที่ในการใช้งานหน้าจอแสดงผลให้มากขึ้น มาพร้อมกับกล้องหลังคู่ ประกอบด้วยเลนส์มุมกว้างความละเอียด 12 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/1.8 ซึ่งประกอบด้วยชุดเลนส์หกชิ้น ที่มาพร้อมกับเลนส์ telephoto รูรับแสง f/2.4 และมี Flash LED แบบทรูโทน ส่วนกล้องหน้า “TrueDepth” มีความละเอียด 7 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.2 และมีเทคโนโลยีจดจำใบหน้า ซึ่งใช้ร่วมกับแอนิโมจิ และ Face ID การปลดล็อคด้วยใบหน้า ส่วนระบบการชาร์จจะเป็นสนับสนุนเทคโนโลยีชาร์จแบบเร็วได้แล้วในพอร์ต Lightning
สำหรับ iPhone X ถือได้ว่าเป็นสมาร์ทโฟนที่ครบครันในการถ่ายรูปเป็นอย่างมาก เพราะในตอนนั้นมีเหล่าฟีเจอร์ที่สนับสนุนในการถ่ายรูปเป็นอย่างมาก
iPhone XS series ปี 2018
iPhone Xs และ iPhone Xs Max เรียกได้ว่าเป็นสมาร์ทโฟนที่มีดีไซน์ใกล้เคียงกันมาก แต่แผงหน้าจอและขนาดแตกต่างกัน รวมถึงสเปคตัวเครื่องที่ไม่เหมือนกันด้วย เพื่อตอบโจทย์การใช้งานของแต่ละคนในระดับราคาที่ต่างกัน
แผงหน้าจอของรุ่นนี้เป็น OLED แต่ทาง Apple เรียกว่า Super Retina สานต่อความสำเร็จจาก iPhone X ของปีที่แล้วนั่นเอง โดยมีขนาดหน้าจอ 5.8 นิ้ว และ 6.5 นิ้ว นับเป็นสมาร์ทโฟนรุ่นแรกจาก Apple ที่มีหน้าจอใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาในขณะนั้น
บนเวทีงานเปิดตัว Apple บอกว่าเป็น iPhone ที่สวยที่สุดเท่าที่เคยมีมาด้วยกรอบตัวเครื่องมันเงาสวยหรู ผสานรวมกับตัวเครื่องกระจกอย่างลงตัว กันน้ำมาตรฐาน IP68
การดีไซน์ iPhone XS ทำให้ได้ขนาดหน้าจอที่ใหญ่ขึ้น ในขณะที่ขนาดตัวเครื่องใกล้เคียงกับรุ่นเดิมอย่าง iPhone 8 และ iPhone 8 Plus อีกทั้งหน้าจอแบบใหม่รองรับการแสดงผล HDR ตอบโจทย์ผู้ใช้งานที่ชื่นชอบการดูหนัง ด้วยอัตราส่วนคอนทราสต์สูงถึง 1,000,000:1 และมีลำโพงสเตอริโอคู่
กล้องถ่ายรูปด้านหลังเป็นเลนส์คู่ ความละเอียด 12 + 12 ล้านพิกเซล เป็นเลนส์ไวด์ปกติและเลน์เทโลโฟโต้ โดยมีระบบกันภาพสั่นไหว OIS ด้วย รองรับการบันทึกวิดีโอระดับ 4K และเสียงที่บันทึกนั้นก็เป็นแบบสเตอริโอด้วย
Smart HDR ฟีเจอร์ที่จะช่วยให้การถ่ายภาพที่มีแสงต่างกันมากๆ ได้รายละเอียดครบถ้วน โดยการถ่ายภาพหลายเฟรมแล้วนำมารวมเป็นภาพเดียวกัน เพื่อให้ได้แสงเงาที่สวยสมจริงมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้แล้วสำหรับการถ่ายภาพ Bokeh หน้าชัดหลังเบลอ สามารถปรับค่ารูรับแสงเพื่อละลายฉากหลังได้แล้วตั้งแต่ f/1.4 ไปจนถึง f/16
iPhone XR ปี 2018
ในปีเดียวกันนี้ Apple ยังได้ประกาศเปิดตัว iPhone XR ตัวเครื่องหลากสีสัน มาพร้อมเลนส์กล้องหลังขนาดใหญ่ ตัวเครื่องกันน้ำได้มาตรฐาน IP67 และมีหน้าจอแสดงผล LCD ซึ่งเป็นรุ่นประหยัดของปีนั่นเอง
Apple เรียกหน้าจอของ iPhone XR ว่า Liquid Retina มีขนาด 6.1 นิ้ว มีเทคโนโลยี Face ID สแกนใบหน้าเพื่อปลดล็อคตัวเครื่องเหมือนกับรุ่นพรีเมียม และใช้ท่าทางการสัมผัสแบบเดียวกันด้วย
ชิพประมวลผลที่เลือกใช้ในรุ่นนี้เป็น A12 Bionic เช่นเดียวกับ iPhone Xs ซึ่งจุดขายรุ่นนี้คือกล้องหลังเลนส์ไวด์ 12 ล้านพิกเซล มีระบบกันภาพสั่นไหว OIS รูรับแสงกว้าง f/1.8
iPhone 11 series ปี 2019
สำหรับดีไซน์หลักๆ ของ iPhone 11 series ด้านหน้าจะมีรอยบากเหมือนเดิม ขณะที่ด้านหลังก็มาตามภาพหลุดด้วยกล้องหลังทรงสี่เหลี่ยมที่อยู่ทางมุมซ้ายบน โดย iPhone 11 จะมีกล้อง 2 เลนส์ ส่วน iPhone 11 Pro และ iPhone 11 Pro Max จะมีกล้องหลัง 3 เลนส์เหมือนกัน
iPhone 11 มาพร้อมกับกล้อง 2 เลนส์ความละเอียด 12 (Wide ซูม 2 เท่า) รูรับแสง f/1.8 + 12 (Ultra-Wide) ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.4 โดยกล้องหน้ามาพร้อมความละเอียด 12 ล้านพิกเซล รูรับแสงขนาด f/2.2 และสามารถถ่ายวิดีโอ Slow-Motion ได้ ส่วน iPhone 11 Pro และ iPhone 11 Pro Max มาพร้อมกล้องหลัง 3 เลนส์ความละเอียด 12 (Wide) + 12 (Ultra-Wide) ล้านพิกเซล + 12 (Telephoto) ล้านพิกเซล โดยมีกล้องหน้าความละเอียดเหมือนกัน
ด้านฟีเจอร์กล้องก็จัดเต็มมีเพิ่มเข้ามาเพียบไม่ว่าจะเป็น Night mode แบบใหม่ ที่จะเพิ่มความสว่างให้ภาพอย่างมาก โดยจำถ่ายภาพทั้งหมด 9 ภาพรวมไว้เป็นภาพเดียว, Portrait Mode สามารถใช้งานร่วมกับสัวต์เลี้ยงได้แล้ว, สามารถถ่ายภาพขณะถ่ายวิดีโอได้ ขณะที่กล้องหน้าจะมี FaceID ที่เร็วขึ้น และสามารถถ่าย Slow-Motion ได้ในชื่อ “Slofies”
iPhone 11 มาพร้อมกับหน้าจอแสดงผล Liquid Retina ขนาด 6.1 นิ้ว ความละเอียด 1792 x 828 พิกเซล ส่วน iPhone 11 Pro และ iPhone 11 Pro Max มาพร้อมกับหน้าจอ Super Retina XDR ขนาด 5.8 และ 6.5 นิ้วตามลำดับ ใช้หน่วยประมวลผล A13 Bionic เหมือนกันทั้งหมด ควบคู่กับ GPU ที่ทาง Apple บอกว่าเร็วที่สุดในสมาร์ทโฟน และเรื่องของแบตเตอรี่ iPhone 11 สามารถใช้งานได้นานกว่า iPhone XR 1 ชั่วโมง ขณะที่ iPhone 11 Pro และ iPhone 11 Pro Max จะใช้งานได้ยาวนานกว่า iPhone XS และ iPhone XS Max อยู่ 4-5 ชั่วโมงตามลำดับ
iPhone SE (รุ่นที่ 2) ปี 2020
ในเดือนเมษายน ปี 2020 Apple ได้ประกาศเปิดตัว iPhone SE รุ่นที่ 2 ซึ่งเป็น iPhone ที่มาพร้อมจอภาพ Retina HD ขนาด 4.7 นิ้ว และมี Touch ID โดยมาในดีไซน์แบบกะทัดรัดที่ได้รับการสร้างสรรค์ขึ้นใหม่ทั้งภายในและภายนอก และเป็น iPhone ที่มีราคาย่อมเยาที่สุด
iPhone SE ใหม่ ขับเคลื่อนด้วยชิพ A13 Bionic ที่ออกแบบโดย Apple พร้อมระบบกล้องเดี่ยวที่ดีที่สุดเท่าที่ iPhone เคยมีมา ซึ่งจะนำประโยชน์จากการประมวลผลภาพถ่ายด้วยคอมพิวเตอร์มาสู่สมาร์ทโฟน รวมถึงโหมดภาพถ่ายบุคคล และยังได้รับการออกแบบมาให้ทนฝุ่นและน้ำด้วย
iPhone 12 series ปี 2020
ดีไซน์ของ iPhone 12 ทั้ง 4 รุ่นด้านหน้าจอแสดงผลจะมีรอยบากเหมือนเดิม ขอบข้างจะมีความแบนตามภาพที่หลุดออกมา โดยใช้เป็นขอบอลูมิเนี่ยม ทั้งยังปรับเสาสัญญาณให้อยู่รอบเครื่อง โดยรุ่นจอ 6.1 นิ้ว มีความบางลง 11%, เล็กลง 15% และเบาขึ้น 16% ส่วน iPhone 12 Mini นั้นจะเป็นรุ่น 5G ที่บางที่สุดในโลก
ด้านหลังจะคล้ายกับ iPhone รุ่นก่อนหน้านี้ครับ โดยตัว iPhone 12 mini และ iPhone 12 จะมีกล้องหลัง 2 เลนส์ ขณะที่ iPhone 12 Pro และ iPhone 12 Pro Max จะมีกล้องหลัง 3 เลนส์ พร้อมกับ LiDar Scanner เพื่อใช้ในการตรวจับวัตถุ 3 มิติเข้ามาด้วย
iPhone 12 นั้นมาพร้อมกับการรองรับ 5G Ultra Wide Band ที่ให้ความเร็วในการดาวน์โหลดสูงสุดถึง 4.0Gbps ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ทั้งยังช่วยเรื่องค่า Latency ให้น้อยลงอีกด้วย ทั้งนี้ยังมีฟีเจอร์ Smart Data Mode เพื่อสลับสัญญาณ LTE และ 5G เมื่อไม่ได้ใช้งาน 5G อีกด้วยเพื่อการประหยัดแบตเตอรี่
iPhone 12 ทุกรุ่นนั้นใช้หน้าจอ OLED เหมือนกันทั้งหมด โดยรุ่น iPhone 12 mini และ iPhone 12 จะเป็นหน้าจอ Super Retina XDR ขนาด 5.4 นิ้ว ความละเอียด 2340 x 1080 พิกเซล และ 6.1 นิ้ว ความละเอียด 2532 x 1170 พิกเซล ตามลำดับ ส่วนตัว Pro ทั้ง 2 รุ่นจะเป็นแบบ Super Retina XDR โดยมีขนาดที่ 6.1 นิ้ว ความละเอียด 2532 x 1170 พิกเซล และ 6.7 นิ้ว ความละเอียด 2778 x 1284 พิกเซล ตามลำดับ
สำหรับชิพประมวลผลที่ใช้ใน iPhone 12 series คือ A14 Bionic ที่เปิดตัวไปก่อนหน้านี้แล้วกับ iPad Air 4 ซึ่งยังเป็นสมาร์ทโฟนรุ่นแรกของโลกที่มาพร้อมชิปขนาด 5 นาโนเมตร มีความเร็วด้าน CPU และ GPU มากที่สุดในโลกของสมาร์ทโฟน ขณะที่ Neural engine ก็มีถึง 13 คอร์ เร็วขึ้นถึง 80% เมื่อเทียบกับ iPhone 11
iPhone 13 series ปี 2021
มีข่าวหลุดก่อนหน้านี้ iPhone 13 Series อาจเปิดตัว 14 กันยายนนี้ ส่วนวันวางจำหน่ายจะเป็นวันที่ 24 กันยายนนี้ในประเทศกลุ่มแรก โดย iPhone 13 Series อาจมีทั้งหมด 4 รุ่นเช่นเดิม ได้แก่ iPhone 13, iPhone 13 mini, iPhone 13 Pro และ iPhone 13 Pro Max
เป็นอย่างไรกันบ้างสำหรับ iPhone รุ่นแรกมาจนถึง iPhone 12 รุ่นล่าสุด และเรากำลังจะได้เห็น iPhone รุ่นใหม่ในปีนี้ ซึ่งตามข่าวเรียกกันว่า iPhone 13 ก็อดตื่นเต้นไม่ได้ มารอลุ้นไปพร้อมๆ กัน อย่าลืมกดติดตามแฟนเพจ @iPhoneDroid.net และทวิตเตอร์ @iPhone_Droid จะได้ไม่พลาดข่าวสารดีๆ ด้วยนะครับ
พาไปดูตำนาน iPhone 2G รุ่นแรกจนถึงปัจจุบัน ต้อนรับการเปิดตัว iPhone 13 - iphone-droid.net
Read More
No comments:
Post a Comment