Apple Watch 7 อาจไม่ใช่สมาร์ทวอทช์รุ่นใหม่ที่ผู้ใช้งาน Apple Watch 4 - 6 รู้สึกว่าถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนมาใช้งานในทันที แต่กลับกันถ้าเดิมใช้งาน Apple Watch 3 หรือรุ่นก่อนหน้านั้นอยู่ การเปลี่ยนมาใช้งาน Watch 7 จะได้ประสบการณ์ใช้งานใหม่ในหลายๆ ด้าน
จุดที่เปลี่ยนแปลงชัดเจนใน Apple Watch 7 คือหน้าจอที่ใหญ่ช่วยให้เห็นได้เต็มตาขึ้น ในขนาดตัวเรือนใกล้เคียงเดิม มีหน้าปัดนาฬิกาแบบใหม่ และรองรับการชาร์จเร็วเพิ่มขึ้นมา ทำให้ชาร์จได้เร็วขึ้นกว่า Watch 6 ถึง 33%
พร้อมกับเพิ่มตัวเลือกสีสันแบบใหม่ในตัวเรือนอะลูมิเนียม มีทั้งสีมิดไนท์ สตาร์ไลท์ เขียว น้ำเงิน และแดง โดยไฮไลท์จะอยู่ที่สีมิดไนท์ ที่เมื่อดูไกลๆ จะเห็นเป็นตัวเรือนสีดำ แต่ถ้ามองใกล้ๆ จะเห็นเป็นน้ำเงินเข้ม ส่วนสตาร์ไลท์เป็นสีเมทัลลิกระหว่างเงิน และทอง
ข้อดี
ตัวหน้าจอใหญ่ขึ้น กันน้ำ - ทนฝุ่น
รองรับการชาร์จเร็ว 80% ใน 45 นาที
วัดออกซิเจนในเลือด และการตรวจคลื่นหัวใจไฟฟ้า
ข้อสังเกต
การชาร์จเร็วต้องใช้คู่กับสายชาร์จใหม่เท่านั้น
แบตเตอรี ยังต้องชาร์จทุกวันเหมือนเดิม
สมาร์ทวอทช์ติดข้อมือสำหรับผู้ใช้ iPhone
ข้อจำกัดเดียวที่ทำให้ยอดขายของ Apple Watch โดนเสียวหมี่แซงหน้าขึ้นไปคือการที่ Apple Watch นั้นจำกัดให้ใช้งานร่วมกับ iPhone หรือแยกใช้งานสำหรับเด็กได้เท่านั้น แต่ผู้ที่ใช้งานสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์ยังไม่สามารถใช้งานได้ ทำให้การเติบโตของ Apple Watch ก็จะค่อยๆ เพิ่มขึ้นตามจำนวนผู้ใช้งาน iPhone
โดยที่ผ่านมา Apple ได้เน้นพัฒนาในเรื่องของการดูแลสุขภาพ ทำให้ปัจจุบัน Apple Watch กลายเป็นอุปกรณ์ที่คอยบันทึกข้อมูลสุขภาพของผู้ใช้ทั้งการออกกำลังกาย การนอน อัตราการเต้นของหัวใจ และที่สำคัญมากขึ้นในช่วงหลังเกิดสถานการณ์โควิด-19 คือเรื่องของการวัดออกซิเจนในเลือด
รวมถึงในกลุ่มผู้ที่มีความเสี่ยงจากโรคหัวใจอย่างการวัดคลื่นหัวใจไฟฟ้า (ECG) จนถึงการพัฒนาระบบแจ้งเตือนเมื่อล้ม (Fall Detection) ที่ในเวอร์ชันล่าสุดของ watchOS 8 สามารถตั้งค่าใช้งานร่วมกับโหมดออกกำลังได้ จึงทำให้เป็นเครื่องมือช่วยในช่วงฉุกเฉินที่อาจเกิดอันตรายต่อชีวิต
หนึ่งในจุดที่ Apple Watch 7 พัฒนาขึ้นมาคือเรื่องความทนทาน เพราะเป็นรุ่นแรกที่ทนฝุ่นระดับ IP6X และกันน้ำ ทำให้สามารถใส่ใช้ชีวิตได้ในทุกสถานการณ์ ประกอบกับหน้าจอคริสตัลที่ออกแบบให้ขอบหนากว่ารุ่นเดิมสูงสุดถึง 50% ทำให้ทนต่อการแตกร้าวได้ดีขึ้น
ในส่วนของการกันน้ำ Watch 7 ได้มาตรฐาน WR50 ทำให้สามารถทนน้ำได้ระดับ 50 เมตร ทำให้สามารถใส่ว่ายน้ำในสระ ทะเล หรืออาบน้ำ ทำให้ไม่ต้องกังวลในกรณีที่ใส่ออกกำลังกายแล้วมีเหงื่อ หรือเปียกฝนก็ทนน้ำได้ทั้งหมด
สิ่งใหม่ใน Apple Watch 7
ถ้ามองย้อนไปถึงการปรับดีไซน์ของ Apple Watch การออก Watch 7 ในครั้งนี้ ถือเป็นการปรับขนาดตัวเรือนครั้งที่ 3 ไม่นับรวมกับ Apple Watch รุ่นแรก โดยไล่มาตั้งแต่ขนาดหน้าจอ 38/42 มม. 40/44 มม. และล่าสุดคือ 41/45 มม.
โดยถ้าเทียบขนาดหน้าจอ Watch 7 จะใหญ่ขึ้นกว่า Watch 3 ราว 50% และใหญ่กว่า Watch 6 ราว 20% หน้าจอยังเป็น LTPO OLED Retina แบบ Always-On Display ให้ความสว่างสูงสุด 1,000 นิต ทำให้สามารถใช้งานกลางแจ้งได้เป็นอย่างดี
ส่วนที่เห็นได้ชัดเจนว่าตัวหน้าจอมีขนาดใหญ่ขึ้น เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า คือบริเวณขอบจอจะบางลง และมีพื้นที่แสดงผลในส่วนขอบโค้งของจอเพิ่มมากขึ้น ในขนาดตัวเรือนที่สูงกว่าเดิมประมาณ 1 มิลลิเมตรเท่านั้น
ภายในกล่องของ Watch 7 นอกจากตัวเรือนนาฬิกาแล้ว จะมากับสายชาร์จ USB-C ทำให้สามารถใช้งานร่วมกับอะเดปเตอร์ 20W ของ iPhone ได้ทันที และยังชาร์จได้เร็วขึ้นกว่าเดิมราว 66%
อย่างไรก็ตาม รูปแบบการชาร์จเร็วของ Watch 7 จะมีการจัดเรียงแม่เหล็กสำหรับชาร์จในรูปแบบใหม่ ทำให้ถ้านำไปชาร์จกับที่ชาร์จรุ่นเดิมจะไม่ได้รับความสามารถในการชาร์จเร็ว รวมถึงถ้านำ Watch รุ่นอื่นมาชาร์จก็จะไม่ชาร์จเร็ว รวมไปถึงแท่นชาร์จ MagSafe Duo Charger ที่ Apple วางจำหน่ายให้ชาร์จ iPhone ร่วมกับ Apple Watch ก็จะไม่รองรับการชาร์จเร็วให้ Apple Watch 7 ได้
ในส่วนของหน้าปัดพิเศษเฉพาะใน Apple Watch 7 จะมี 2 หน้าปัดใหม่ให้เลือกใช้คือ กาลเวลา (Conture) และ โมดูลาร์คู่ (Modular Duo) ที่ใช้การแสดงผลของหน้าจอที่กว้างขึ้น ทำให้สามารถแสดงผลรายละเอียดได้ครบถ้วนในหน้าจอเดียว
รวมถึงความสามารถในการค้นหาอุปกรณ์ Apple และ AirTags เพิ่มเติม เพื่อช่วยในการระบุตำแหน่งล่าสุด และสามารถสั่งให้อุปกรณ์เล่นเสียงเตือนเพื่อตามหาได้ เพิ่มเติมจาก Find People เพื่อค้นหาตำแหน่งเพื่อน หรือคนในครอบครัว
ออกแบบให้มีสีสันมากขึ้น
Apple Watch 7 จะมีสีสันให้เลือกทั้งหมด 10 สี จาก 3 วัสดุให้เลือกใช้งาน โดยมี 5 สีจากอะลูมิเนียมรีไซเคิล คือมิดไนท์ สตาร์ไลท์ เขียว น้ำเงิน และแดง ตามด้วยตัวเรือนสแตนเลสสตีล ในสีกราไฟต์ สีเงิน สีทอง ตัวเรือนสีไทเทเนียม และสีดำสเปซแบล็ค
ข้างขวาของตัวเรือนยังเป็นที่อยู่ของเม็ดมะยมที่สามารถหมุนได้ (ในรุ่น Cellular จะเป็นสีแดง) และปุ่มกดสั่งงาน โดยมีรูไมโครโฟนอยู่ ทางฝั่งขวาเป็นช่องลำโพง และด้านบน - ล่าง จะใช้ในการเชื่อมต่อกับสายนาฬิกา
ด้านหลังจะมีเซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจ และออกซิเจนในเลือด โดยจะมีกลุ่มไฟ LED 4 ดวง ทั้งสีเขียว สีแดง และอินฟราเรด รวมถึงโฟโต้ไดโอด 4 ตัวที่จัดเรียงกันไว้วัดปริมาณแสงที่สะท้อนกลับมาเพื่อคำนวณสีเลือด ให้แสดงถึงระดับออกซิเจนในเลือด
สำหรับขนาดตัวเรือนของ Apple Watch 7 รุ่น 41 มม. จะอยู่ที่ 40.9 x 34.8 x 10.7 มิลลิเมตร น้ำหนัก 32 กรัม ส่วนรุ่น 45 มม. จะอยู่ที่ 45.08 x 38.24 x 10.7 มิลลิเมตร น้ำหนัก 38.8 กรัม
ภายในทำงานบนชิป S7 ที่เป็น Dual-Core 64 บิต พื้นที่เก็บข้อมูล 32 GB รองรับการเชื่อมต่อด้วยชิปไร้สาย W3 และ U1 ช่วยให้สามารถเชื่อมต่อ WiFi 5 บลูทูธ 5.0 มาให้ใช้งาน ส่วนในรุ่น Cellular จะรองรับ eSIM บนเทคโนโลยี 4G
นอกจากนี้ ยังมีอุปกรณ์ตรวจจับความเคลื่อนไหว และไจโรสโคปที่แม่นยำมากยิ่งขึ้น เพื่อใช้ร่วมกับระบบตรวจจับการล้ม มีมาตรวัดความสูง พร้อม GPS ที่ใช้ในการระบุพิกัด และเซ็นเซอร์ตรวจวัดแสงโดยรอบ เพื่อปรับความสว่างหน้าจออัตโนมัติด้วย
สรุป
อย่างที่บอกไปตั้งแต่ต้นว่า Apple Watch Series 7 เหมาะกับผู้ที่ใช้งาน Apple Watch รุ่นที่ 3 หรือก่อนหน้ามากที่สุด เพราะด้วยความสามารถที่นับแล้วเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด แต่สำหรับผู้ใช้งาน Series 4 5 และ 6 นับเป็นการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยเท่านั้น
โดยราคาจำหน่ายเริ่มต้นของ Apple Watch Series 7 ตัวเรือนอะลูมิเนียม รุ่นหน้าปัด 41 มม. จะเริ่มต้นที่ 13,900 บาท รุ่นหน้าปัด 45 มม. เริ่มต้นที่ 14,900 บาท โดยในรุ่น Cellular จะเพิ่มขึ้นมาเป็น 17,500 บาท และ 18,500 บาท ตามลำดับ
ถัดมาเป็นตัวเรือนสแตนเลส 41 มม. 23,900 บาท 45 มม. 25,500 บาท และตัวเรือนไทเทเนียม 41 มม. 27,900 บาท 45 มม. 29,500 บาท โดยจะมีแต่รุ่น Cellular เท่านั้น
Review : Apple Watch Series 7 จอใหญ่ขึ้น ชาร์จเร็ว เพิ่มสีใหม่ แค่นี้จริงๆ! - ผู้จัดการออนไลน์
Read More
No comments:
Post a Comment