ความแน่นอน ล้วนคือความไม่แน่นอน
โดยเฉพาะในภาคของธุรกิจบันเทิง หลายครั้งหลายครา เรื่องที่เราๆ ท่านๆ ไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นได้ ก็มักเกิดขึ้นมาเสมอๆ ด้วยเหตุและผลที่แตกต่างกันออกไป
เช่นเดียวกับ สิ่งที่ไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดขึ้นกับ Netflix แต่ ณ วันนี้ก็เกิดขึ้นแล้ว
Netflix ถือเป็นพี่ใหญ่แห่งวงการแพลตฟอร์มสตรีมมิ่ง ที่ต้องเรียกว่าเปิดตลาดไปแล้วทั่วโลก กวาดความสำเร็จ และรายได้มาแล้วมากมายมหาศาล
โดยเฉพาะในยุคของการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด – 19 ที่ทำให้ธุรกิจอื่นๆ สะท้านสะเทือน แต่ตรงกันข้าม กลับทำให้ธุรกิจสตรีมมิ่งเจริญเติบโตแบบก้าวกระโดด เพราะสามารถตอบสนองพฤติกรรมการใช้ชีวิตในยุคที่ต้องจำกัดการเดินทาง การหลีกเลี่ยงการเข้าไปในพื้นที่ชุมนุม เปลี่ยนวิถีชีวิตจากการหาความบันเทิงนอกบ้าน มาเสพความสนุกผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ในบ้านแทน
แต่วันนี้.....
เมื่อสถานการณ์โควิด – 19 ดูเหมือนจะมีการคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้นทั่วโลก กลับกลายเป็นว่า สถานการณ์ของ Netflix ก็เริ่มจะวิกฤตแทน
ใครจะเชื่อว่า Netflix จะเดินทางมาถึงจุดที่จำนวนสมาชิกที่ติดลบ หรือขยายความได้ว่า มียอดจำนวนสมาชิกใหม่น้อยกว่าจำนวนผู้ยกเลิกสมาชิก ซึ่งเพิ่งจะเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปี !!!!
จากที่เคยเดินอย่างองอาจสง่างาม บนเส้นทางการเติบโตแบบแทบจะไร้คู่แข่ง วันนี้ Netflix กลับประสบปัญหาหนักจนทำให้หุ้นของบริษัทดิ่งลงกว่า 35% และมูลค่าตลาด หายไปกว่า 1.8 ล้านล้านบาท
นี่อาจจะเป็นอีกหนึ่งสาเหตุหลักที่ทำให้ Netflix เอง ต้องปลดพนักงานระดับบริหารออกหลายตำแหน่ง หมายรวมถึงตัดต้นทุนคอนเทนต์บางส่วนลงไปด้วย โดยเฉพาะในส่วนของแอนนิเมชั่น เพราะเมื่อกางตัวเลขในส่วนของต้นทุนการผลิตคอนเทนต์ต่างๆ ในรอบปีที่ผ่านมา พบว่า Netflix ใช้เงินลงทุนไปกว่า 17,000 ล้านเหรียญ เรียกว่าสูงเป็นอันดับสอง รองจาก Disney ที่ใช้ไปกว่า 33,000 ล้านเหรียญ
ทำไมสถานการณ์ของโควิด ถึงได้มีผลกับการเติบโตของวงการ Netflix ?
สมการนี้แก้ได้ไม่ยากเลย เพราะเมื่อพฤติกรรมของคนหวนกลับไปเป็นปกติ หมายถึงสามารถไปใช้ชีวิตนอกบ้านได้อย่างเต็มที่ ช่วงเวลาที่จะนั่งดูซิรี่ส์ หรือคอนเทนต์ต่างๆ ผ่านแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งก็น้อยลง
ในขณะเดียวกัน อัตราค่าสมาชิกกลับสวนทางกัน นั่นคือต้องจ่ายแพงขึ้น
ก็ไม่แปลกที่ผู้บริโภคเลือกที่จะไม่ต่อสมาชิก หรือต่อสมาชิกน้อยลง หรือเลือกต่อเฉพาะในช่วงเวลาที่มีคอนเทนต์ที่ดึงดูด ไม่ได้ผูกขาดเป็นสมาชิกแบบแฟนพันธุ์แท้เหมือนเมื่อก่อน
รวมไปถึงการถือกำเนิดของแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งรายอื่นๆ ที่เข้ามาแชร์ส่วนแบ่งการตลาดอีกมากมายหลายเจ้า ทำให้คนดูมีทางเลือกมากยิ่งขึ้น
จึงไม่เพียงแต่พี่ใหญ่อย่าง Netflix ที่ประสบปัญหาหุ้นร่วงดิ่งลง แต่แพลตฟอร์มอื่นๆ ที่แทบจะถอดโมเดลธุรกิจมาจากต้นแบบ ก็ตกที่นั่งไม่ต่างกัน
ไม่ว่าจะเป็น Disney+ ที่ร่วงไป 9% ส่วน Paramount+ ก็ร่วงไป 14% ขณะที่ HBO Max ของ Warner Bros. Discovery ร่วงไปถึง 16%
คำถามที่ตามมาก็คือ นอกจากเรื่องของสถานการณ์โควิดแล้ว เหตุปัจจัยที่ทำให้ตลาดสตรีมมิ่ง เดินทางมาถึงจุดสะดุด อาจจะเป็นเพราะเรามีผู้ให้บริการแพลตฟอร์มประเภทเดียวกันมากเกินไปหรือไม่ ? อย่างไร !!???
ไม่ต้องดูอื่นไกล โฟกัสเฉพาะในบ้านเราก็พอ
ตอนนี้นอกจากบรรดาแพลตฟอร์มต่างๆ จะต้องมาทำการตลาดแข่งกันเองแล้ว ยังจะต้องมาแข่งกับบรรดาช่องใหญ่ๆ ที่กระโดดลงมาเปิดแพลตฟอร์มออนไลน์ของตัวเองเข้าไปอีก อย่าง ช่อง 3 ก็มี Ch3plus หรือแม้แต่ ช่องวัน ก็มีแอป OneD
สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือบรรดาช่องต่างๆ เหล่านี้ ก็ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาแพลตฟอร์มอื่นๆ เพราะต้องสงวนคอนเทนต์ไว้เป็นเอ็กซ์คลูซีฟในแพลตฟอร์มของตัวเอง
นั่นหมายถึงว่าแพลตฟอร์มต่างๆ ก็ยิ่งขาดแคลนวัตถุดิบในการดึงดูดใจบรรดาสมาชิก รวมไปถึงไม่สามารถอาศัยฐานการตลาดจากแฟนประจำของช่องใหญ่ ที่จะไหลเข้ามาเพราะจะตามมาดูคอนเทนต์ที่แต่ละแพลตฟอร์มได้สิทธิ์ในการนำมาสตรีมมิ่ง
ณ วันนี้ อาจถึงเวลาที่แต่ละแพลตฟอร์มสตรีมมิ่ง โดยเฉพาะพี่ใหญ่อย่าง Netflix จะต้องกลับมาทบทวนบทบาท และแผนการตลาดของตัวเอง เพื่อหาทางรับมือกับภาวะวิกฤต ที่ ....
Demand สวนทางกับ Supply
ก่อนที่เส้นทางจะตีบตันไปมากกว่านี้ !!!
ผู้จัดการ 360 องศาสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 30 เมษายน - 6 พฤษภาคม 2565
เมื่อ Demand สวนทางกับ Supply หรือตลาดสตรีมมิ่งจะถึงทางตัน !!?? - ผู้จัดการออนไลน์
Read More
No comments:
Post a Comment