เชื่อว่าใครที่ใช้มือถือ Android น่าจะเคยโดนเพื่อน ๆ “ป้ายยา” ให้มาใช้ iPhone กันมาบ้าง เมื่อโดนบ่อยเข้าก็เริ่มรู้สึกอยากจะเปลี่ยนมาใช้ iPhone ดูจริง ๆ แต่สำหรับคนที่ใช้แต่มือถือ Android มาทั้งชีวิต แล้วคิดจะเปลี่ยนไปใช้ iPhone อาจจะเป็นเรื่องที่ต้องคิดหนัก เพราะ iPhone มีราคาแพงพอ ๆ กับมือถือเรือธงของฝั่ง Android จึงต้องทำการบ้านกันพอสมควรก่อนจะตัดสินใจ หลายคนเปลี่ยนแล้วชอบ แต่อีกหลายคนก็อาจจะเจอความแตกต่างที่ไม่คาดคิด ซึ่งบางอย่างก็ไม่เหมาะกับสไตล์การใช้งาน จนอาจต้องผิดหวัง นั่งเสียดายเงินกันไป
ในฐานะที่ผู้เขียนเองก็เป็นคนที่ใช้มือถือ Android มาตลอด และเปลี่ยนไปใช้ iPhone มาได้สักพักหนึ่ง คิดว่าน่าจะเป็นเรื่องดีหากมีใครสักคนได้บอกเล่าประสบการณ์ และเรื่องที่ควรรู้ก่อนตัดสินใจ จะได้ไม่ต้องเสียใจทีหลัง และนี่คือ 30 เรื่องที่คุณควรรู้ก่อนจะเปลี่ยนจากมือถือ Android มาเป็น iPhone ครับ
สิ่งที่ควรรู้ก่อนจะเปลี่ยนมาใช้ iPhone
1. iPhone รุ่นใหม่ ๆ (iPhone 11 ขึ้นไป) แบตเตอรี่อึดไม่แพ้เรือธง Android ไม่ต้องกลัวว่าแบตจะหมดไวเหมือนเมื่อก่อน
2. แต่ชาร์จไวสุดแค่ 20W ต่างจากมือถือ Android หลายขุม ถ้าไม่ซีเรียสว่าต้องชาร์จเต็มในครึ่งชั่วโมง ก็ไม่เป็นปัญหาอะไร
3. iPhone ทุกรุ่นที่เป็นล็อตผลิตใหม่จะไม่มีหัวชาร์จมาให้ในกล่อง จะมีมาให้แค่สายชาร์จ Lightning - USB Type-C เส้นเดียว หากต้องการใช้หัวชาร์จ Android เก่า จะต้องเป็นหัวชาร์จที่มีพอร์ต USB Type-C จึงจะใช้กับสายที่แถมมาได้
4. ปัจจุบัน iPhone ยังคงใช้พอร์ต Lightning ทำให้ใช้สายชาร์จร่วมกับมือถือ Android ไม่ได้
5. แต่ iPhone สามารถใช้หัวชาร์จร่วมกับมือถือ Android ได้ (แต่จะไม่ชาร์จไว) และใช้แท่นชาร์จไร้สายร่วมกันได้
6. iPhone ติดตั้งแอปนอกแบบ APK เหมือน Android ไม่ได้ ต้องโหลดจาก AppStore เท่านั้น
7. iPhone สามารถสแกนใบหน้าแบบใส่แมสก์ได้ แต่ต้องเป็น iPhone 12 ขึ้นไป และอัปเดตเป็น iOS 15.4 แล้ว
8. iPhone เปลี่ยนธีมไม่ได้ การปรับแต่งหน้าจอโฮมที่ทำได้มีเพียงการลบ/ย้ายไอคอนแอป, เพิ่ม/ลบวิดเจ็ต และเปลี่ยนภาพพื้นหลัง
9. รูปถ่ายจาก iPhone จะเป็นไฟล์สกุล .HEIC ซึ่งอาจจะเปิดดูในคอมพิวเตอร์ Windows ไม่ได้ ซึ่งเราสามารถตั้งค่าให้ถ่ายรูปออกมาเป็นไฟล์สกุล .JPG ได้โดยตั้งค่าตามบทความนี้ : วิธีตั้งค่า iPhone ให้ถ่ายรูปเป็น JPEG
10. ถ้าต้องการใช้ 5G ต้องเลือก iPhone 12 หรือ iPhone 13 เท่านั้น iPhone 11 หรือเก่ากว่าจะไม่รองรับ 5G
11. เราไม่สามารถย้ายรูปภาพ เพลง หรือไฟล์ใด ๆ จาก iPhone ลงมาในคอมพิวเตอร์ที่ใช้ระบบ Windows ได้โดยตรง หากต้องการลงเพลงใน iPhone ต้องทำผ่านโปรแกรม iTunes
12. จากข้อข้างบน แนะนำให้ใช้โปรแกรม 3uTools จะสะดวกกว่าใช้ iTunes มาก แถมยังนำเข้าไฟล์เพลงมาเป็นริงโทนได้ด้วย สามารถดาวน์โหลดได้ฟรีที่ เว็บไซต์ 3uTools
13. iPhone ไม่สามารถเลือกเพลงในเครื่องมาทำเป็นริงโทนได้ตรง ๆ จำเป็นจะต้องซื้อใน Tone Store เพลงละ 15 หรือ 19 บาท แต่ยังมีวิธีที่ทำได้แบบฟรี ๆ อยู่ ซึ่งดูได้ที่นี่
14. ปิดเครื่อง iPhone ได้ด้วยการกด ปุ่มเพิ่มเสียง + ปุ่ม power ค้างไว้ แล้วสไลด์ปุ่มปิดเครื่องด้านบน ซึ่งในเมนูนี้จะไม่มีตัวเลือกในการรีสตาร์ท
15. แต่สามารถรีสตาร์ท iPhone ได้ด้วยการ กดปุ่มเพิ่มเสียง 1 ครั้ง + ลดเสียง 1 ครั้ง + กดค้างที่ปุ่ม power แล้วรอจนกว่าโลโก้ Apple จะปรากฏขึ้นมา
16. ปัจจุบัน iPhone ยังไม่มี Always on Display
17. ตั้งแต่ iPhone XS ขึ้นไปจะรองรับการใช้งาน 2 ซิมได้แล้ว โดยเป็น Nano-SIM ปกติ สามารถย้ายจากมือถือ Android มาใส่ได้เลย ส่วนอีกซิมเป็น eSIM ซึ่งต้องเปิดใช้งานที่ศูนย์บริการ AIS, dtac, True
18. iPhone 13 ทุกรุ่นรองรับ eSIM คู่ หมายความว่าเราจะเปลี่ยนทั้ง 2 เบอร์ของเราให้เป็น eSIM ฝังในเครื่องเลยก็ยังได้
19. ส่งเคลม iPhone ได้ที่ Apple Store Icon Siam, Apple Store Central World หรือ iCare, iCenter, iServe, iMedic, iStudio ทุกสาขา
20. สำหรับคนชอบเล่นเกม iPhone มีบริการ Apple Arcade รวมเกมเกรด A มาให้เล่นแบบบุฟเฟ่ต์ในราคาเดือนละ 99 บาท และเป็นเกม exclusive ที่มีให้เล่นเฉพาะใน Apple Arcade เท่านั้น
21. iPhone ไม่มีตัวช่วยเร่งประสิทธิภาพระหว่างเล่นเกม และไม่มีฟีเจอร์บล็อกการแจ้งเตือน หรือสายโทรเข้าขณะเล่น แต่เราสามารถสร้างฟีเจอร์นี้ขึ้นมาเองได้ตามวิธีการในบทความนี้ : วิธีปิดแจ้งเตือนเวลาเล่นเกมบน iPhone
22. iPhone ไม่มีฟังก์ชันล็อกแอป หรือซ่อนแอป แต่เราสามารถสร้างฟังก์ชันคล้าย ๆ กันนี้ได้ ในบทความนี้ : วิธีล็อกแอป iPhone บังคับให้สแกนหน้าก่อนใช้งาน
23. iPhone ไม่สามารถเล่นโซเชียล 2 บัญชีในเครื่องเดียวได้
24. ถ้าชอบจอลื่น ต้องซื้อ iPhone 13 Pro หรือ iPhone 13 Pro Max เท่านั้น เพราะเป็นเพียง 2 รุ่นที่มีจอ ProMotion 120Hz
25. เราสามารถตรวจสอบสุขภาพแบตของ iPhone ได้ ทำให้รู้ว่าต้องเปลี่ยนแบตเมื่อไหร่ แต่อย่าได้ใส่ใจกับตัวเลขของมันมากจนเกินไปนัก
26. เราสามารถรูทเครื่อง iPhone ได้ โดยจะเรียกกันว่าการ เจลเบรก ซึ่งจะทำให้เราลงแอปนอก AppStore และปรับแต่งระบบได้อย่างเต็มที่ แต่ไม่สะดวกเหมือนการรูทเครื่องของ Android เพราะทาง Apple ป้องกันระบบเอาไว้อย่างดี หากมีแฮ็คเกอร์เจลเบรกได้ ก็จะใช้ได้อย่างจำกัด เช่น ต้องเป็น iOS 15.1 - 15.2 เท่านั้น เป็นต้น และ Apple ก็อัปเดต iOS หนีตลอด ทำให้การเจลเบรกไม่คุ้มเท่าไหร่ สามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ที่บทความ : เจลเบรก (Jailbreak) คืออะไร ?
27. iPhone ถ่าย Story ใน Instagram ได้ชัดกว่ามือถือ Android
28. Google Maps ใน iPhone เปิดแบบหน้าต่างลอยไม่ได้
29. ควรสมัคร Apple ID เป็นของตัวเอง เพื่อประโยชน์ในการเข้ารับบริการต่าง ๆ ของ Apple รวมถึงความเป็นเจ้าของในตัวเครื่อง และแอปที่ซื้อด้วย
30. iPhone มีฟีเจอร์ที่เรียกว่า AirDrop สามารถใช้ส่งไฟล์ให้กับ iPhone หรืออุปกรณ์ของ Apple ได้อย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องใช้สาย เป็นฟีเจอร์ที่สะดวกมาก ๆ ลองแล้วจะติดใจ แต่ส่งให้มือถือ Android ไม่ได้นะ
ทั้ง 30 ข้อข้างต้นคือสิ่งที่ผู้เขียนได้เรียนรู้ด้วยตัวเองหลังจากเปลี่ยนมาใช้ iPhone ซึ่งก็มีทั้งจุดที่พอใจ และจุดที่ผิดหวัง ซึ่งผู้เขียนก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้ผู้ที่กำลังจะเปลี่ยนจากมือถือ Android มาใช้ iPhone ตัดสินใจได้ง่ายขึ้น และไม่ต้องเสียความรู้สึกทีหลังหากเจออะไรที่ไม่ถูกใจ เพราะสุดท้ายแล้ว รู้อะไรก็ไม่เท่า "รู้งี้" ครับ
นำเสนอบทความโดย : thaimobilecenter.com
วันที่ : 26/7/2565
สิ่งที่ควรรู้ก่อนย้ายจากมือถือ Android ไปใช้ iPhone รู้ไว้ จะได้ไม่ผิดหวัง - thaimobilecenter
Read More
No comments:
Post a Comment