หมายเหตุ ภาพเกม capture จากโหมดความละเอียด Performance+
ในปีค.ศ.2013 นั้น ทีมงาน Naughty Dog ที่เคยฝากผลงานเอาไว้จากซีรีส์ Crash Bandicoot, Jak and Daxter และ Uncharted และได้สร้างประสบการณ์ใหม่เกมผจญภัยให้ผู้เล่นที่ชื่อ The Last of Us ซึ่งวางจำหน่ายบน PlayStation 3 ด้วยโทนเรื่อง เนื้อหาและการนำเสนอที่เข้มข้นและจริงจังกับธีมเกมซอมบี้ติดเชื้อ จนมีภาคต่อในปีค.ศ.2020 ด้วยชื่อว่า The Last of Us Part II ให้ได้เล่นกัน
และในวันนี้ 9 ปีให้หลัง ตัวเกมภาคแรกสุดก็ได้กลับมาอีกครั้งในแบบการรีเมกบน PlayStation 5 ด้วยชื่อที่ปรับใหม่เป็น The Last of Us Part I เพื่อให้สอดคล้องไปในแนวทางเดียวกัน แล้วการรีเมกครั้งนี้จะเป็นอย่างไร
เปิดเข้าเกมมาผู้เล่นจะได้พบกับหน้าจอที่คุ้นเคยจากภาคเก่า โดยเมื่อเราเล่นจบเนื้อเรื่องหลักแล้วเราจะสามารถเข้าเล่นบท Left Behind ต่อได้นั่นเอง ส่วนโหมดพิเศษนั้นก็มี โมเดลตัวละครให้เราใช้แต้มที่เล่นมาปลดและภาพ Artwork และเบื้องหลังการสร้างให้เราได้ชมกันด้วย
โดยภาครีเมกนี้ลงให้เฉพาะ PS5 เราก็จะสามารถปรับภาพความละเอียดของเกมได้ว่าจะเน้นที่ภาพสวย หรือ เฟรมเรตขนาด 4K 40hz ก็ไม่ทำให้ขัดลูกตาหรือรู้สึกภาพกระตุกแต่อย่างไร
เนื้อเรื่อง
เรื่องราวของ The Last of Us Part I จะเล่าเกี่ยวกับโลกในปีค.ศ.2013 (ซึ่งเป็นปีที่เกมวางจำหน่ายครั้งแรกบนเครื่อง Play Station 3) ได้เกิดเหตุการณ์เชื้อราสายพันธุ์ใหม่ระบาดไปทั่วโลก ซึ่งทำให้เหล่าผู้ติดเชื้อขาดสติยั้งคิด คลุ้มคลั่งเข้าทำร้ายผู้อื่น ตัวเอกของโจเอล(Joel) ก็ต้องเผชิญกับเหตุการณ์ไม่คาดฝันนี้และนำไปสู่สิ่งที่เปลี่ยนชีวิตของเขาตลอดไป ในอีก 20 ปีให้หลัง (ปีค.ศ.2033 ในเกม) เขาที่ใช้ชีวิตเป็นคนรับจ้างลักลอบขนของเถื่อนจากเขตกักกันก็จะได้พบเจอกับเด็กสาวที่ชื่อเอลลี (Ellie) ซึ่งจะนำพาไปสู่เหตุการณ์ที่จะเปลี่ยนชีวิตเขาไปอีกครั้ง
ส่วนทุกอย่างของเกมบน PS5 นี้ไม่ว่าจะเป็นเนื้อเรื่องหรือบท การเคลื่อนไหวของตัวละครและอื่นๆจะเหมือนกันกับที่เคยวางจะหน่าย บน PlayStation 3 มาก่อนหรือแม้แต่ภาครีมาสเตอร์บน PlayStation 4 ก็จะไม่มีอะไรให้ต้องพูดถึงกันมากนักครับ นั่นเพราะองค์ประกอบในแง่เนื้อหาทั้งหมดเหมือนเดิมโดยที่ไม่มีการเพิ่มเติมฉากคัตซีนพิเศษหรืออะไรทั้งนั้น จังหวะการเล่น จังหวะการเกิดเหตุการณ์ ฉาก set piece ทั้งหลาย หรือบรรดา optional conversation (บทสนทนาที่ไม่บังคับ) ทั้งหมดล้วนมีเหมือนเดิมครับ ซึ่งก็รวมถึงเนื้อหาในส่วนของ Left Behind ซึ่งเดิมเป็น DLC สำหรับเกมต้นฉบับบน PS3 ด้วยเช่นเดียวกัน
ภาษาในเกม
ทราบกันดีอยู่แล้วว่าเกมภาคนี้ได้รับการแปลไทยเช่นเดียวกับ The Last of Us Part II ที่วางจำหน่ายไปก่อนหน้านี้ ยืนยันได้ว่าคุณภาพการแปลนั้นอยู่ในขั้นดีครับ ถ้าจะให้คะแนนการแปลนั้นก็คงอยู่ที่ราว 90% ได้ ไม่ว่าจะบทสนทนาในเกม หรือพวกเอกสารใด ๆ ก็อ่านได้ไหลลื่นไม่มีติดขัดเลย นี่ยังไม่รวมมุขตลกๆที่ตัวละครพูดคุยกัน (ถึงมันจะมีน้อยก็เถอะ)
เกมเพลย์
โดยรวมแล้วตัวเกมได้ถอดทุกอย่างมาจาก Play Station 3 มาจนหมดเลย ไม่ว่าจะเป็นการคราฟของ การหลับเข้าที่กำบัง ระบุตำแหน่งศัตรู รวมถึงระบบการอัปเกรดตัวละครหรืออัปเกรดอาวุธต่าง ๆ
เพียงแต่ว่าพอนำเอาเอ็นจินที่ใช้ในการพัฒนา Part II มารีเมก Part I ใหม่ก็เลยมีการเพิ่มเติมองค์ประกอบเล็ก ๆ น้อย ๆ เข้ามา แทนที่จะทำให้แตกต่างกันไปเลยสุดท้ายมันก็คือระบบจาก Part II ทั้งหมด และสิ่งที่ขัดใจผมมากที่สุดคือไม่มีระบบ Online
สรุป
The Last of Us Part I คือเกมรีเมกจากต้นฉบับที่แทบจะเหมือนต้นฉบับ หากว่าใครที่ยังไม่เคยเล่นมาก่อนเลยก็ขอแนะนำให้เล่น เพราะนี่คือหนึ่งในเกมชั้นเยี่ยมที่จะถูกกล่าวถึงไปอีกนาน ส่วนใครที่เคยเล่นต้นฉบับหรือภาครีมาสเตอร์มาแล้ว ถ้าหากอยากจะสัมผัสเรื่องราวและความประทับใจที่คุณเคยสัมผัสมาก่อน The Last of Us Part I นี้ก็จะเป็นเรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างโจเอลและเอลลีในแบบฉบับที่ซึ้งที่สุดแล้วหล่ะครับ ข้อเสียของเกมก็คงมีจุดเดียวจริงๆ คือการที่ไม่มีระบบ Online ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเกมที่สนุกมากๆ หวังว่าผู้พัฒนาจะนำมาใส่ให้พวกเราในอนาคต (ถึงแม้มันจะไม่มีหวังก็เถอะ)
9.5/10
รีวิว By Darkcfw
รีวิว THE LAST OF US PART I สุดท้ายแล้วพวกเรากลับมาอีกครั้งแบบรีเมก - Sanook
Read More
No comments:
Post a Comment