หลังจากที่ หนุ่ย-พงศ์สุข ได้มีโอกาสไปเยือนงาน Galaxy Unpacked ถึงเมืองซานฟรานซิสโก สหรัฐฯ ทางพี่หนุ่ยก็ได้มีโอกาสถือใช้ Samsung Galaxy S23 Ultra ตั้งแต่ก่อนงานเปิดตัวจะเริ่ม และขอทิ้งห่างจากงานเปิดตัวซักพัก เพื่อที่จะรีวิวจากความรู้สึกจริงที่ได้ใช้เรือธงลำใหม่นี้ พร้อมข้อมูลเชิงลึกจากกองบรรณาธิการ มาแบไต๋ให้ดูกันครับ
ดีไซน์
หลาย ๆ คนที่ได้เห็นคลิปงานเปิดตัวที่ซานฟรานซิสโก คงจะสงสัยกันอยู่บ้างแน่ ๆ ว่าเอ๊ะ ดีไซน์ของ S22 Ultra กับ S23 Ultra มันแทบจะเหมือนกันจนแยกไม่ออกเลย แต่จริงๆ แล้วด้านในต่างไปมากกว่าที่หลายคนยังไม่รู้นะ ! แต่ในมุมมองของดีไซน์ภายนอกก็ตามคลิปเปิดตัวเลย ว่าขอบด้านข้างเหลี่ยมมากขึ้น ซึ่งแต่ละคนก็จะถือถนัดไม่เท่ากัน กับขอบกล้องด้านหลังใหญ่ขึ้นมา ที่เหลือคือแทบจะเหมือนเป๊ะกับบน S22 Ultra เลย อาจจะมีตำแหน่งของไมค์ที่เปลี่ยนเล็กน้อย แต่เชื่อเถอะครับว่าเราไม่รู้สึกหรอก แต่ใส่เคสด้วยกันไม่ได้แน่ ๆ ส่วนเรื่องของน้ำหนักของตัวเครื่อง ในรุ่นใหม่นี้น้ำหนักเพิ่มขึ้นอีก 4 กรัมถ้วน !
ด้านวัสดุ ใช้เป็น Armor Aluminium ซึ่งมีความแข็งแรงพอสมควร ส่วนกระจกด้านหน้า และหลัง ก็ใช้ Gorilla Glass Victus 2 ซึ่งมีความคงทนมากกว่าเดิม ในขณะที่กระบวนการผลิตก็ใส่ใจโลกมากกว่าเดิม ด้วยการใช้ส่วนประกอบรีไซเคิลมากกว่าเดิม (ด้วยวัสดุที่วนใช้จากในโรงงาน) ซึ่งก็เป็นการรีไซเคิลมาตั้งแต่กระจกหน้า – หลัง ไปจนถึงปากกา S-Pen ที่อยู่ภายใน
ส่วนเรื่องสีของตัวเครื่อง ก็ได้มีความ ‘รักโลก’ ผสมเข้าไปอยู่ในตัวสีเพิ่มขึ้นจากเดิมด้วย ถ้าเทียบกันระหว่างสีเขียวเดิมใน S22 Ultra กับ S23 Ultra ก็ถือว่าดูมีความรักโลกมากขึ้นจริง ๆ แต่โดยรวมก็ถือว่าคล้ายเดิมมากจริง ๆ แต่สิ่งที่ไม่คล้ายแน่ ๆ คือประสิทธิภาพของตัวเครื่องที่อยู่ภายใน !
กล้องถ่ายภาพ
โดยเลนส์ถ่ายภาพของ Samsung Galaxy S23 Ultra นั้นจะประกอบไปด้วย
- กล้องถ่ายภาพมุมกว้างมาก (Ultra Wide Camera) ขนาด 12 ล้านพิกเซล f/2.2
- กล้องถ่ายภาพหลัก (Main Camera) ขนาด 200 ล้านพิกเซล f/1.7
- กล้องถ่ายภาพซูม (Telephoto Zoom Camera) 3x ขนาด 10 ล้านพิกเซล f/2.4
- กล้องถ่ายภาพซูม (Periscope Zoom Camera) 10x ขนาด 10 ล้านพิกเซล f/4.9
- Laser Autofocus อันนี้ไม่ใช่กล้องนะ เป็นตัวช่วยโฟกัสเฉย ๆ !
ต้องบอกตรง ๆ ว่าการเข้ามาของกล้องความละเอียด 200 ล้านพิกเซล ที่มาพร้อมเทคนิค 16 ยวบเป็น 1 ที่เรียกว่า ‘Adaptive Pixel’ ไฟล์ภาพที่ถ่ายออกมา แม้จะเหลือความละเอียด 12 ล้านพิกเซลเท่าเดิม แต่สี และพิกเซลภายในที่เก็บรายละเอียดได้ดีขึ้น ทำให้ภาพที่ออกมาดูคมชัดขึ้นกว่าเก่าได้ ก่อนที่จะได้ทำรีวิวจริงจัง Beartai เคยทำคลิปที่ถ่ายทำด้วย Samsung Galaxy S23 Ultra ล้วน ๆ มาแล้ว ผลตอบรับออกมาน่าสนใจมาก ๆ เพราะมีแต่คนคอมเมนต์ว่าภาพออกมาดีจริง ๆ ตอนที่คุณหนุ่ย-พงศ์สุข ได้เดินทางไปซานฟรานซิสโก เขาก็ได้พบกับ ‘นักสร้างกล้อง’ ของซัมซุง ที่ชื่อ Dr. Sungdae Joshua Cho (ด็อกเตอร์ซังแด โจชัว โช) เขาเป็นนักพัฒนาซอฟต์แวร์ของกล้องถ่ายภาพในสมาร์ตโฟนของซัมซุง ซึ่งเห็นได้เลยว่าทางซัมซุงให้ความจริงจังกับการทำซอฟต์แวร์ของกล้องถ่ายภาพนี้มากขนาดไหน โดยเฉพาะเรื่องของการกันสั่น ที่ในรุ่นนี้ได้เปลี่ยนจากเดิมที่ใช้ 1.5° ใน S22 Ultra กลายมาเป็น 3° ใน S23 Ultra แทน ซึ่งมีส่วนสำคัญทั้งการถ่ายภาพนิ่งและการถ่ายวิดีโอเลย
ส่วนภาพถ่ายที่ทำได้นั้น ถือว่าทำได้ดี สีของภาพนั้นมีความแตกต่างจากการถ่ายด้วย Samsung Galaxy S22 Ultra แบบเดิม โดยเฉพาะเรื่องของอุณหภูมิสี ที่ได้มีการปรับอยู่พอสมควร สีของภาพใน S23 Ultra จะไม่อมฟ้าเท่า สีออกไปทางอุ่นขึ้น ซึ่งจากการสอบถามหลาย ๆ คนมา เทียบภาพข้าง ๆ กันไปเลย ก็พบว่าได้ผลผสมกัน ! มีทั้งคนที่บอกว่าภาพรุ่นเก่าสีดีกว่า รุ่นใหม่สมจริงกว่า ซึ่งสุดท้ายอยู่ที่ความชอบของแต่ละคนอยู่ดี
แต่ที่ดีขึ้นแน่ ๆ คือเรื่องของความละเอียดของภาพเวลาเราซูมภาพที่ได้เข้าไป ตัวภาพจะเก็บรายละเอียดได้ดีขึ้นจากในรุ่นก่อนหน้าแน่นอน ส่วนเลนส์มุมกว้าง สามารถถ่ายได้กว้างสุดที่ 0.6 เท่าเหมือนกันทั้งบน S23 Ultra และ S22 Ultra แต่สีของภาพใน S23 Ultra จะเห็นเลยว่าได้สีที่อมฟ้าน้อยลง ซึ่งถ้าเทียบกับใน iPhone 14 Pro แล้ว สีออกไปทางยวบอีกหน่อย ไม่สดมากเท่า ในขณะที่ ถ้าเราถ่างซูมเข้าไปในตัวภาพ จะเห็นว่าภาพที่ออกมาไม่แตก ด้วยการเก็บรายละเอียดของกล้องหลักนั่นเอง
แต่แน่ล่ะ เดี๋ยวนี้ถ้าเราพูดถึงเรือธงของซัมซุง มันต้องเรื่องซูม ที่ปีนี้ Copy Writer ของไทยซัมซุงเขาใช้คำว่า ‘สุดพี๊คคค’ บนหน้าเว็บเขาเลย ซึ่งภาพที่ออกมาก็พี้คจริง ๆ แม้เลนส์ถ่ายภาพอื่น ๆ จะยังเหมือนเดิม แต่เรื่องนี้ เลนส์ถ่ายภาพหลัก 200 ล้านพิกเซลของเขาก็มีส่วนจริง ๆ รุ่นนี้ยังซูมลึกสุด 100 เท่าเหมือนเดิม และคุณผู้ชมลองดูภาพนี้ นี่คือภาพที่ผ่านการซูมมาแล้ว 30 เท่า ! คือถ้าเราไม่ซูมเข้าไปในภาพเต็ม ๆ ภาพถ่าย 30 เท่าคือยังใช้งานได้จริง ๆ
ส่วนในการซูม 100 เท่า แม้ภาพจะแตกอยู่เหมือนเดิม (และน่าหวังผลที่ 30 เท่ามากกว่า) แต่ก็ได้มีเรื่องของ AI ที่เข้ามาช่วยให้การประมวลผลภาพซูมนั้นทำได้ดีขึ้นด้วยนะ ลองซูมภาพ 100 เท่าของ S22 Ultra และ S23 Ultra นี้ดูได้
สายคอนเสิร์ตที่ต้องไปถ่ายในงานเขาชอบฟีเจอร์การซูมแบบนี้มาก กระแสของการใช้สมาร์ตโฟนเพื่อที่จะซูมเยอะ ๆ ก็เลยบูมขึ้นมา ถึงขนาดเดี๋ยวนี้ มีธุรกิจปล่อยเช่ามือถือ แบไต๋เราก็มีคลิปสัมภาษณ์เจ้าของร้านนะ ในคลิปนี่คือชัดเจนเลยว่าเช่าสมาร์ตโฟนของ Samsung นี่แหละ ทุกครั้งที่มีคอนเสิร์ตวงไหนเด่น ๆ มา ก็จะมีแท็ก #เช่าS22Ultra หรืออะไรทำนองนี้ขึ้นมาอยู่เสมอเลย
ซึ่งพอเรานำไปเทียบกับบน S22 Ultra แล้ว ถามว่าคุณภาพของภาพซูมดีกว่ากันไหม ก็ดีขึ้นนะ เมื่อซูมเข้าไปที่ภาพที่เราถ่ายซูมมาแล้ว เลนส์ 200 ล้านของเขาก็ได้เฉิดฉาย เก็บรายละเอียดได้ดีกว่า ส่วนพอซูมถึงระดับ 100 เท่า ที่เรียกว่า Space Zoom ประกอบด้วยซูมออปติคัล 10x และซูมดิจิทัล 10x พร้อมเทคโนโลยี AI Super Resolution ภาพที่ออกมาแม้จะดูไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยยะสำคัญ แต่ใน S23 Ultra จะเห็นว่าเก็บรายละเอียดของสีได้ดีขึ้นครับ ส่วนใน iPhone 14 Pro ที่ยังไม่มีเลนส์เรือดำน้ำ (Periscope) ของตัวเอง ภาพถ่ายซูมที่ได้สูงสุดแค่ 15 เท่าก็เลยจะออกมาได้ไม่ดีเท่าในทั้ง 2 รุ่นครับ ลองดูภาพเปรียบเทียบการซูมที่ 10 เท่า เท่ากันทั้ง 3 รุ่นดู ทุกคนชอบแบบไหนกัน ?
สมาร์ตโฟนตอนนี้เดินทางมาถึงยุคของการถ่ายภาพกลางคืนแบบที่ ‘ซูมได้’ กันแล้ว ซึ่งในรุ่นนี้เขาก็ยังใช้ศัพท์คำว่า ‘Nightography’ เหมือนเดิม เพิ่มเติมคือเรื่องของ AI ที่ทำให้ภาพถ่ายกลางคืนได้อย่างเนียนตา ทำให้มี Noise หรือสิ่งรบกวนในภาพที่ลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญ
ลองดูภาพเทียบกับบน S22 Ultra ดูได้ จะเห็นว่าส่วนของท้องฟ้า หรือบริเวณที่ไฟส่องเวลากลางคืน มี Noise ที่ลดลงจริง ตัวภาพที่ถ่ายออกมาก็มีรายละเอียดของวัตถุที่ชัดขึ้น แถมยังมีแสง Flare หรือแสงสว่างที่เกินจริงจากไฟ ก็ลดน้อยลงไปด้วยนะ เรียกได้ว่าแก้จุดที่เป็นข้อสังเกตในรุ่นเก่าได้ดีเลยทีเดียว
ซึ่งถ้าเทียบกับ iPhone 14 Pro แล้ว ภาพที่ออกมาจะได้การเกลี่ยของสีที่ต่างกัน แต่สีของ S23 Ultra จะเด้งออกมามากกว่า
และถ้าใครที่เป็นสายถ่ายดาวจริงจัง Samsung Galaxy S23 Ultra ยังสามารถถ่ายดาวได้ด้วยโหมด Astrophoto ที่เราสามารถถ่ายได้จากแอปฯ Expert Raw (โหลดจากบน Galaxy Store) หรือจะถ่ายวิดีโอกลางคืนเพื่อให้เห็นไปจนถึงการเคลื่อนที่ของดาว ก็สามารถถ่าย ‘Astro Hyperlapse’ ได้ผ่านโหมด Hyperlapse ในกล้อง และตั้งค่าเป็นโหมดถ่ายดาวได้เลย แหม่ กล้องนี้ยังพี๊คคค ได้อีกจริงๆ
ส่วนการถ่ายภาพบุคคล ใน Samsung Galaxy S23 Ultra ได้มีการปรับแก้ในเรื่องของสีผิว หรือที่เขาเรียกกันว่า Skin Tone ซึ่งถ้าเอาภาพไปวางคู่กับใน S22 Ultra คือเห็นเรื่องของสีผิวที่แตกต่างออกไป มีการทำสีที่ออกมาดูจริงมากขึ้น ไม่เข้มเกินไป
ซึ่งในทุกรุ่นที่เราได้นำมาทดสอบ ก็สามารถถ่าย Portrait ในระดับ 1 เท่า และ 3 เท่าได้ ความต่างของทั้ง 2 ระยะนี้ก็คือ ในแต่ละระยะจะมีการเก็บความละลายหลังที่ต่างกันไป ถ้าเป็น 3 เท่าจะใช้เลนส์ซุม 3 เท่าเข้ามาประกอบการเบลอด้วย โดยใน S23 Ultra ก็ได้เพิ่ม AI Stereo Depth Map เข้ามาช่วยเรื่องการแยกตัวคนออกจากพื้นหลัง ที่แยกได้แม้กระทั่งขอบแว่น แต่จริง ๆ ถ้าดูภาพแล้ว ส่วนของเส้นผมจะเห็นว่าการเก็บเส้นผมยังพัฒนาได้อีกเล็กน้อยครับ คุณผู้ชมลองดูภาพเทียบกันระหว่างทั้ง 3 รุ่นดูครับว่าชอบสกินโทนของภาพไหนกว่ากัน
นอกจากการถ่ายภาพคนในเวลากลางวันแล้ว การถ่ายกลางคืนก็ทำได้ค่อนข้างดีเช่นกัน แม้จะอยู่ในที่แสงน้อย ถ่ายในร้านอาหารที่แสงค่อนข้างสลัว ๆ หน่อย ภาพที่ถ่ายออกมาก็ยังดูสว่าง ดูดีเหมือนมีแสงเยอะเลย
การถ่ายวิดีโอ
ส่วนการถ่ายวิดีโอนั้น สามารถถ่ายได้ที่ความละเอียดสูงสุดที่ 8K 30FPS แต่การถ่ายด้วย 4K 60FPS จะได้ภาพออกมาดูดีกว่า ซึ่งในปีนี้ Samsung ถือว่าทำการบ้านมาค่อนข้างดีมากเลย ด้วยระบบกันสั่นที่เพิ่มขึ้นมา 2 เท่านี้ ทำให้การถ่ายวิดีโอนั้นทำออกมาได้ดีขึ้นจากเดิมค่อนข้างมาก ตรงนี้อยากให้ชมวิดีโอส่วนนี้ผ่านคลิปรีวิวของทางแบไต๋ ที่ได้ลงทั้งการถ่ายวิดีโอด้วย Samsung Galaxy S23 Ultra รวมถึงมีการเทียบวิดีโอกับในรุ่นอื่น ๆ ไว้แล้วด้วย !
ทีนี้ในโหมด Super Steady เอง ก็ได้พัฒนาเหมือนกัน คือถ้าลองเทียบภาพระหว่าง S22 Ultra กับ S23 Ultra จะเห็นเลยว่าภาพนิ่งมาก ลื่นไหลยังกะใส่ Gimball ยังไงยังงั้น และใน S23 Ultra สามารถถ่ายวิดีโอ Super Steady ในความละเอียด QHD (1440P) ได้แล้วด้วย ภาพที่เห็นในคลิปด้านบนนี้คือ 1440P นะ คมๆ นิ่ง ๆ เลย
พองานวิดีโอกลางวันใช้งานได้ วิดีโอกลางคืนก็ใช้งานได้เลยเช่นเดียวกันครับ มีการคำนวณแสงต่าง ๆ ในเวลากลางคืนได้ดี ไม่เกิด Noise รวมถึงภาพก็ยังลื่นไหลได้ดีอยู่เช่นเดียวกัน ต้องบอกว่ากันสั่นที่เพิ่มขึ้นมาเป็น 2 เท่าที่เขาบอกมา ได้ใช้ประโยชน์มากจริง ๆ
กล้องหน้า
อีกเรื่องที่คนทั้งทัก ทั้งโวย คือเรื่องของความละเอียดกล้องหน้า ที่ใน S22 Ultra ใส่กล้องความละเอียด 40 ล้านพิกเซล แต่พอมา S23 Ultra กลับเหลือแค่ 12 ล้านพิกเซลซะงั้น เรื่องนี้ต้องบอกตรง ๆว่า ‘เมกะพิกเซล’ ไม่ใช่ทุกอย่าง แม้ความละเอียดเหมือนจะลดลง แต่ด้วยเซนเซอร์ที่พัฒนามาให้ดีขึ้นแล้ว โดยเฉพาะจากในคลิปลุยเทสต์ที่แพน ศรุตได้ไปลองกล้องหน้ามา ก็ให้ข้อสรุปได้เลยว่ากล้องหน้าเขาเก็บรายละเอียดได้ดีขึ้น ด้วยรูรับแสงขนาด f2.2 และ Dual pixel !
ดูภาพของเมย์ ศิตาภา ดูได้เลย คือนอกจากความละเอียดจะเพิ่มขึ้นแล้ว สีของภาพเองก็ดีขึ้นด้วย ! เรื่องนี้ ซัมซุงเขาใช้ AI Object-aware engine ที่จะใช้ AI ในการตรวจจับผม หรือเสื้อผ้าให้ออกมาจากพื้นหลัง รวมถึงเพิ่มรายละเอียดให้กับแบบในกล้่องหน้าด้วย แม้คุณภาพจะไม่ได้ดีมากเท่าในกล้องหลัง แต่นำไปใช้งานได้แน่นอน ถ้านำภาพมาเทียบกับบน iPhone สีของในไอโฟนจะออกมาในอีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งก็จะแล้วแต่แต่ละคนว่าจะชอบภาพแบบไหนมากกว่ากัน
ปากกา S-Pen ก็ยังอยู่นะ !
ฟีเจอร์ปากกาที่ใช้ในการถ่ายกล้องหน้าผ่าน S-Pen ที่แถมมาให้ในรุ่นนี้ก็ยังให้มาเหมือนเดิม ได้ทั้งถ่ายภาพ สลับกล้อง เปลี่ยนโหมด ยันซูม ก็ใช้งานผ่าน S-Pen นี้ได้เลย อย่างกับคฑาเวทมนต์แฮรี่พ็อตเตอร์ยังไงงั้น นอกจากนั้น ปากกา S-Pen ที่เขาให้มา ก็ยังใช้งานได้ดีจริง ๆ เหมือนเดิม ถ้าคุณเป็นสายผู้บริหารที่ต้องเซนต์เอกสาร เครื่องนี้จะทำให้เซนต์ชื่อได้สะดวกจริง ๆ และยังทำงานร่วมกับผลิตภัณฑ์ของ Google ได้แล้วด้วย
หน้าจอ
หน้าจอของ S23 Ultra เองก็ดีมาก ๆ เช่นกัน ทุกคนคงรู้อยู่แล้วว่า Samsung เขาเด่นด้านการทำจอภาพมากขนาดไหน S23 Ultra นี้เองก็จัดเต็มด้านจอภาพเหมือนกัน ด้วยจอภาพ Dynamic Amoled 2X 1440P LTPO รีเฟรชเรต 1-120 Hz สว่างสูงสุด 1750 Nits ขนาด 6.8 นิ้ว ที่แสดงผล YouTube ได้เต็มความละเอียด และ Netflix แบบ L1 เต็มความละเอียดเหมือนกัน ภาพเขาก็สวยแบบไร้ข้อกังขาเหมือนกัน
สเปกภายในเครื่อง
นอกจากเรื่องกล้องที่พี้คแล้ว เรื่องสเปกเขาก็พี้คค ไม่แพ้กล้องเลย เพราะเขาใส่ CPU ที่ปรับสเปกมาพิเศษ ‘Qualcomm Snapdragon 8 Gen 2 For Galaxy’ หลายคนคงสงสัยว่า For Galaxy ต่างกับ 8 Gen 2 ธรรมดายังไง บนเว็บไซต์ XDA ระบุไว้ว่า Snapdragon 8 Gen 2 For Galaxy เขาเป็น 8 Gen 2 ที่เพิ่ม Clock Speed ของทั้ง CPU และ GPU นั่นแปลว่ารุ่น For Galaxy เนี่ย เขาทำมาเร็วกว่า 8 Gen 2 ธรรมดานั่นแหละ
ซึ่งผลคะแนนที่เราทดสอบมาก็จริงตามที่ผมเห็นครับ คะแนนทดสอบ Geekench 5 ก็มีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดว่าในรุ่นนี้เขาทำคะแนนได้สูงกว่าในรุ่นธรรมดาจริง ซึ่งก็จะมีผลต่อทุกส่วนตั้งแต่ใช้งานทั่วไป ถ่ายรูป ไปจนถึงเล่นเกม
ส่วนใน Geekbench 6 ซึ่งเป็นโปรแกรมทดสอบ CPU ที่ปรับการทดสอบให้เป็นการใช้งานจริง (Real-World Use) มากยิ่งขึ้น แบไต๋เราเลยขอทดสอบแบบด่วน ๆ มาให้ด้วย ผลคือคะแนนที่ออกมาไม่ได้ต่างกันมากกับการทดสอบบน Geekbench 5 ครับ ซึ่งเวอร์ชัน 6 เขาจะทดสอบเรื่อง AI มากขึ้นด้วย
ส่วนถ้าทดสอบด้วย 3D Mark ชุด Wild Life Stress Test ก็ได้ผลที่น่าสนใจเหมือนกัน คือคะแนนสูงสุดเมื่อเทียบกับบน Snapdragon 8 Gen 1 เร็วกว่าจริง แต่ทั้งคู่ยังเกิดปัญหาเดียวกันคือเรื่องของชิปเซ็ตที่ยัง Throttling หรือดรอปความเร็วเมื่อร้อน แต่ถ้าคุณผู้ชมสังเกตกราฟที่เทียบกัน จะเห็นว่าใน 8 Gen 2 For Galaxy ที่ดรอปความเร็วลงไปแล้ว ยังเกือบเท่าคะแนนสูงสุดของใน 8 Gen 1 อยู่ เพราะแบบนี้เวลาเราใช้งานหนัก ๆ แล้วเครื่องร้อน ก็จะไม่รู้สึกว่าเครื่องช้าลงได้
ซึ่งถ้าใช้เล่นเกม Genshin Impact ปรับสุดที่ 60 FPS ก็จะให้เฟรมเรตที่ประมาณ 50 กว่า ๆ เกือบ 60 แต่ถ้าเครื่องเริ่มร้อนก็จะดรอปเฟรมเหลือที่ 40 ปลาย ๆ แต่จะไม่ดรอปไปกว่านี้
อีกฟีเจอร์ที่เพิ่มเข้ามาและมีประโยชน์ คือโหมดการเล่นเกมที่เล่นไป และต่อชาร์จไฟที่เร็วแบบ PD ไว้ ก็จะ Bypass การชาร์จแบต และใช้ไฟจากปลั้กล้วน ๆ ซึ่งช่วยให้แบตเสื่อมช้าลงไป และลดความร้อนไปได้
อีกเรื่องที่มีคนพูดถึงกันเยอะก็คือความจุตัวเครื่องที่พุ่งไปถึง 60GB ซึ่งกองบรรณาธิการของเราเช็คแล้ว พบว่าในเครื่องที่วางขายจริง ก็ขึ้นว่าใช้ความจุเกินไปเยอะเหมือนกัน เรื่องนี้อย่าเพิ่งตกใจนะ ที่จริงแล้ว ปัญหาเกิดจาก App My Files ไม่ได้รับการอนุญาตในการเข้าถึงเนื้อหาข้อมูลโดยการตั้งค่า default จากโรงงาน จึงทำให้ตัวเลขที่ขึ้นมาเยอะ ๆ นั้นรวมทั้ง OS, pre-install apps, แอปและข้อมูลต่างๆที่ลูกค้าโหลดเพิ่ม โดยต้องไปกด i ข้างๆ ในการตั้งค่า เพื่ออนุญาตให้ระบบแยกได้
และที่แม้ว่าพอแยกแล้วจะยังพุ่งไปเกือบ 60 GB อยู่ นั่นก็เพราะว่า ยังมีเรื่องของการคำนวณหน่วยที่ทำให้ตัวเลขหายไปอยู่ เหมือนกับเวลาเราซื้อแฟลชไดร์ฟมา แล้วความจุหายไป เพราะคำนวณหน่วยกันคนละแบบ แอปฯการตั้งค่าของซัมซุงเขาก็เลยเอาเลขที่หายไปเนี่ย โปะทับกับความจุที่ระบบใช้ไปจริง ๆ ทำให้เลขมันบวมขึ้นมาขนาดนี้ได้ โดยเรื่องนี้ซัมซุงบอกว่าตอนนี้กำลังวางแผนที่จะเปลี่ยนมาใช้หน่วยเป็น GB แทนที่จะเป็น GiB เพื่อหลีกเลี่ยงความสับสนในการคำนวณพื้นที่ที่ระบบใช้งานไป และทำให้ตัวเลขต่างจากความเข้าใจเราได้
แบตเตอรี่
Samsung Galaxy S23 Ultra แม้จะให้แบตเตอรี่มาเท่าเดิมที่ 5,000 มิลลิแอมป์ และชาร์จเร็วด้วย ‘Super Fast Charging 2.0’ 45W ก็ให้อายุการใช้งานของแบตเตอรี่ที่ดีกว่าในรุ่นก่อนอยู่มาก มากจนกระทั่งผู้เขียนเองก็ตกใจ (เนื่องจากใช้ S22 Ultra เป็นเครื่องหลัก และคนที่ใช้น่าจะรู้ว่ากินแบตประมาณไหนในอุณหภูมิไทย) ตอนที่เราทดสอบถือว่าแบตเตอรี่สามารถอยู่จนหมดวันได้ โดยไม่ต้องชาร์จแบตเลยด้วย
ข้อสังเกต
รีวิวที่ดีต้องมีข้อสังเกต จากที่ผมเองได้ถือใช้มา รวมถึงกองบก. ได้นำไปทดสอบมา เรามีข้อสังเกตมาฝากคุณผู้ชมเล็กน้อยครับ
- หัวชาร์จที่ชาร์จได้ 45W นั้น เขาไม่ได้แถมมาให้ด้วยเรื่องความรักษ์โลก แต่หลาย ๆ คนอาจจะมีหัวชาร์จเร็วนี้อยู่แล้วก็ได้
- Samsung Galaxy S23 Ultra ยังไม่รองรับ Codec เสียงแบบ aptX Adaptive และ Snapdragon Sound ซึ่งจะทำให้คุณภาพเสียงของหูฟังบลูทูธที่รองรับ Codec aptX Adaptive เล่นเสียงได้ไม่เต็มที่ครับ แต่ยังมี SSC (Samsung Seamless Codec) ที่ไว้ใช้กับหูฟังไร้สายของ Samsung เองอยู่ครับ
รีวิวที่ดีต้องมีราคา !
รีวิวที่ดีต้องมี ราคา ! Samsung Galaxy S23 Ultra เครื่องนี้ วางจำหน่ายในราคาเริ่มต้นที่ 43,900 บาท สำหรับรุ่นแรม 8 GB รอม 256 GB ส่วนราคาของความจุอื่น ๆ นั้นจะประกอบไปด้วย
- Ram 12GB + Rom 1TB ราคา 59,900 บาท
- Ram 12GB + Rom 512GB ราคา 49,900 บาท
สามารถหาซื้อกันได้แล้วที่เว็บไซต์ของทาง Samsung เอง, Official Store ของ Samsung หรือกระทั่งร้านค้าตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ ! (มีโปรให้หากันอยู่เรื่อย ๆ นะ !)
รีวิว Samsung Galaxy S23 Ultra คุ้มไหมถ้าจะอัปเกรดจาก S22 Ultra หรือย้ายค่ายจาก iPhone ? - TrueID News
Read More
No comments:
Post a Comment