Rechercher dans ce blog

Sunday, July 17, 2022

รีวิว Dyson V12 Detect Slim Total Clean เครื่องดูดฝุ่นไร้สายพรีเมี่ยม เทคโนโลยีจัดเต็มทั้งเลเซอร์และเซ็นเซอร์ตรวจจับฝุ่นในเครื่องเดียว - iphone-droid.net

รีวิว Dyson V12 Detect Slim รุ่น Total Clean เครื่องดูดฝุ่นไร้สายพรีเมี่ยม ที่มาพร้อมเทคโนโลยีมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเลเซอร์, เซ็นเซอร์ตรวจจับฝุ่น, หน้าจอ LCD แสดงผล นอกจากนี้ยังมีหัวดูดให้เลือกใช้อีกมาก เรียกว่าตอบโจทย์ทุกมุมในบ้านแน่นอน ส่วนการใช้งานจริงจะเป็นอย่างไร วันนี้ทีมงาน iphone-droid.net รีวิวให้ชมแบบเต็ม ๆ ติดตามครับ!

คุณสมบัติ Dyson V12 Detect Slim

  • เทคโนโลยีไซโคลน 11 ตัว
  • ถังเก็บฝุ่น: 0.35 ลิตร
  • ระบบการกรองทั้งตัวเครื่อง
  • Suction power: 150AW
  • ความสูง 252 มม.
  • ความยาว 250 มม.
  • ความกว้าง 1,234 มม.
  • ระยะเวลาชารจ์ 4 ชม.
  • น้าหนัก 2.2 กก.

แกะกล่อง Dyson V12 Detect Slim Total Clean

เริ่มต้นด้วยการแกะกล่องเช็กอุปกรณ์กันครับ ก่อนอื่นเราต้องบอกก่อนว่า Dyson V12 Detect Slim นี้จะมีให้เลือก 2 รุ่นคือรุ่น Fluffy และ Total Clean ซึ่งจะแตกต่างกันที่หัวดูดซึ่งรุ่นที่เราได้มาเป็น Total Clean หรือรุ่นท็อปสุดที่หัวดูดมาให้ทุกรูปแบบนั่นเองครับ

เปิดกล่องออกมาเราจะเจอกับอุปกรณ์วางเรียงรายกันเพียบ เราแกะออกมาเรียงให้ครบ ๆ ประกอบด้วย

  • ตัวเครื่อง Dyson V12 Detect Slim
  • หัวดูด

อย่างที่บอกไปว่ารุ่น Total Clean จะเป็นรุ่นที่ให้อุปกรณ์มาจัดเต็มเสริมจากรุ่น Fluffy คือ หัวดูดพื้น DirectDrive,หัวดูดหัวฝุ่นฝังลึก และแท่นยืดพื้นนั่นเองครับ ตรงนี้หากคิดว่าไม่ได้ใช้หัวดูดเหล่านี้ก็ไปจัดรุ่น Fluffy แทนได้ครับเพราะฟีเจอร์ต่าง ๆ เหมือนกัน

ดีไซน์ Dyson V12 Detect Slim

เอาล่ะ…มาดูดีไซน์ของ Dyson V12 Detect Slim กันเลยดีกว่าครับ แน่นอนว่าเป็นแบรนด์ Dyson ทั้งทีจะมาแบบเรียบ ๆ ก็คงไม่ได้ สีสันอันโดดเด่นของเครื่องดูดฝุ่นไร้สายตัวนี้เตะตาเรามาก ๆ ตั้งแต่แกะกล่อง ใช้โทนม่วงตัดกับสีทองได้อย่างลงตัว พร้อมแทรกด้วยสีสันของปุ่มกดด้วยสีแดงที่ทำให้ดูเข้ากันได้ดีมาก

ที่ด้านบนของตัวเครื่องจะมีปุ่ม Power สำหรับเปิด-ปิดการทำงานของเครื่องดูดฝุ่นไร้สายนี้ ซึ่งก็ไม่ได้เข้าใจยากเลยจะใช้งานก็กดเปิดจะหยุดก็กดปิดแค่นั้นเองครับ

ส่วนด้านหลังของตัวเครื่องจะมีหน้าจอ LCD ที่ใช้บอกสถานะต่าง ๆ ที่เดี๋ยวเราอธิบายเพิ่มเติมอีกทีพร้อมปุ่มกด 1 ปุ่มเอาไว้ใช้กดปลุกหน้าจอตรงนี้ขึ้นมาเวลาอยากดูข้อมูลอะไรครับ

ด้ามจับก็ออกแบบมาให้จับถือได้ง่าย พร้อมฐานขนาดใหญ่ที่เราสามารถจับถือได้อย่างกระชับและดูมั่นคงเวลาเราใช้งานก็ไม่ต้องกังวลว่าจะหลุดมือเอาง่าย ๆ

ที่ด้านหน้าของ Dyson V12 Detect Slim จะมีช่องสำหรับใส่หัวดูดที่มากมาย วิธีการใส่ก็ทำได้ง่าย ๆ เพียงเอาปุ่มสีแดงขึ้นด้านบนและใส่เข้าไปจนวงกลมแรกเข้าไปดัง “แกร็ก” ก็เป็นอันเรียบร้อยครับ ส่วนวิธีถอดออกก็ง่าย ๆ แค่กดปุ่มสีแดงแล้วดึงออกเท่านั้นเอง

ซึ่งอุปกรณ์เสริมอื่น ๆ ที่ให้มาทั้งข้อต่อยืดความยาวหรือตัวบิดงอก็จะเป็นปุ่มกดสีแดงแบบนี้ทั้งหมดครับ เพราะฉะนั้นการใช้งานก็ง่าย ๆ เพียงแค่ใส่ และถอดออกโดยการกดปุ่มแล้วดึงเหมือนกัน

การใช้งาน Dyson V12 Detect Slim

ติดตั้งกันเรียบร้อยแล้วได้เวลามาลองใช้งานกันเลยครับ วิธีการใช้งานก็ไม่ยุ่งยากเลยครับ เลือกหัวดูดที่เหมาะกับสภาพห้องและเปิดใช้งานที่ปุ่ม Power ด้านบนได้เลย มีปุ่มเดียวเด่น ๆ ไม่ยุ่งยาก แต่ในการใช้งานอาจจะต้องใช้ 2 มือเพื่อควบคุมนิดหน่อย เนื่องจากปุ่ม Power นั้นอยู่ที่ด้านบน เราไม่สามารถถือมือเดียวเปิด-ปิดการทำงานได้เนาะ

น้ำหนักของตัวเครื่องเองจะอยู่ที่ 2.2 กก.ถือว่าอยู่ในระดับที่รับได้สำหรับความสะดวกที่ได้มาครับ พอเป็นแบบไร้สายด้วยก็ยิ่งทำให้คล่องตัวไม่ว่าจะเคลื่อนย้ายไปตรงไหนของมุมบ้านไม่ต้องกลัวจะติดสาย ลากไปไม่ถึงด้วย

อย่างที่บอกไปว่าตัวเครื่องนั้นมีหน้าจอ LCD ไว้บอกข้อมูลด้วย ซึ่งข้อมูลที่ Dyson V12 Detect Slim จะบอกกับเราก็คือบริมาณฝุ่นที่ดูดเข้ามาได้ แยกเป็นประเภท ๆ ดังนี้

  1. >10μm (มากกว่า 10 ไมครอน) : อนุภาคที่มีขนาดเทียบเท่าสารก่อภูมิแพ้และละอองเกสร
  2. >60μm (มากกว่า 60 ไมครอน) : อนุภาคที่มีขนาดเทียบเท่าฝุ่นละอองที่เล็กมากจนมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น
  3. >180μm (มากกว่า 180 ไมครอน) : อนุภาคที่มีขนาดเทียบเท่าไรฝุ่นและทรายละเอียด
  4. >500μm (มากกว่า 500 ไมครอน) : อนุภาคที่มีขนาดเทียบเท่าเม็ดน้ำตาลและเห็บหมัด

นอกจากนี้ในหน้าจอยังมีระดับเวลาของแบตเตอรี่ที่ใช้งานได้อีกด้วย อย่างในภาพตอนนี้ก็จะมีแบตเตอรี่ดูดได้อีก 15:01 นาทีเป็นต้นครับ

ในเรื่องของพลังดูด Dyson V12 Detect Slim ก็ได้มอเตอร์ Dyson Hyperdymium หมุนด้วยความเร็ว 125,000 รอบต่อนาที จึงสามารถสร้างแรงดูดที่ทรงพลังถึง 150AW เพื่อการทำความสะอาดอย่างล้ำลึก ไม่ว่าฝุ่นจะหนาแน่นแค่ไหน ก็ดูดพรวดเข้าไปได้หมดแน่นอนครับ

ปล่อยลมที่สะอาดบริสุทธิ์ให้บ้านของเรา ด้วยระบบการกรองที่ปิดผนึกอย่างแน่นหนาของ Dyson ดักจับอนุภาคขนาดเล็กสูงสุด 0.3 ไมครอน ได้ถึง 99.99% ด้วยตัวกรองทั้งหมด 5 ชั้นประกอบด้วย

  1. ไซโคลนถังเก็บฝุ่น
  2. ตัวกรองตาข่ายเหล็ก
  3. ไซโคลนที่ทรงพลัง
  4. ตัวกรองก่อนมอเตอร์
  5. ตัวกรองด้านหลังมอเตอร์

ทำให้เมื่อเราใช้งานเครื่องดูดฝุ่นไร้สายตัวนี้ อากาศภายในห้องก็จะบริสุทธิ์ขึ้นไปด้วย

ส่วนหัวดูดที่ให้มาก็ต้องบอกว่าตอบโจทย์กับทุกมุมในบ้านจริง ๆ ครับ ไม่ว่าจะเป็นหัวแปรงมาตรฐานที่ใช้ดูดฝุ่นทั่วไป ตามเบาะ เตียง หรือผ้าม่านได้แบบครบถ้วน

หรือจะเป็นหัวแปรงที่ละเอียดขึ้นมาหน่อยให้เราได้ดูดตามบานหน้าต่างหรือช่องเล็ก ๆ ได้อย่างหมดจด โดยไม่ต้องเอียงไปมาให้วุ่นวาย

ตามช่องเล็ก ๆ ที่หัวดูดใหญ่ ๆ อาจจะเข้าไปไม่ถึงก็มีแบบหัวแบนปากแคบที่ให้เราได้ซอกซอนไปได้ อีกทั้งหัวดูดแบบแบนนี้ยังมีไฟ LED ที่ช่วยส่องสว่างเวลาเราใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นที่แคบหรือมืดก็ยังเห็นฝุ่นให้เราดูดออกมาได้ด้วยครับ

มีหัวดูดเก็บเส้นผมที่ช่วยดูดจับเส้นผมหรือขนสัตว์ขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย แถบแปรงด้านในจะเป็นทรงกรวยที่ช่วยป้องกันการม้วนพันของเส้นผมภายในให้หลุดไปถึงถังเก็บฝุ่นได้สบาย ๆ พร้อมมอเตอร์ความเร็วสูงช่วยทำให้ความสะอาดในพื้นที่ขนาดเล็กได้อีกด้วย

หรือจะเป็นหัวดูดทำความสะอาด Direct Drive สำหรับทำความสะอาดพื้นทุกประเภท ที่มีขนาดใหญ่ดูดฝุ่นหรือสิ่งสกปรกได้อย่างหมดจด ด้วยมอเตอร์ในหัวดูดทำความสะอาดแบบ Direct-Drive ช่วยดันขนแปรงไนลอนแบบแข็งให้ซอกซอนลึกเข้าไปกำจัดสิ่งสกปรกที่ฝังแน่นทั้งในพรมเช็ดเท้าและพรมในบ้าน

แต่ทีเด็ดสุดในบรรดาหัวดูดของ Dyson V12 Detect Slim ก็คงหนีไม่พ้นหัวดูดทำความสะอาด Laser Slim Fluffy ที่ออกแบบมาสำหรับพื้นแข็งโดยเฉพาะ พร้อมเลเซอร์สีเขียวที่ช่วยตรวจจับอนุภาคต่าง ๆ ที่เราอาจไม่เห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ยังทำความสะอาดพื้นแข็งด้วยรูปลักษณ์ที่เพรียวแบนราบไปกับพื้นหัวแปรงกว้าง 250 มม. และเพรียวแบนของ Laser Slim Fluffy ช่วยให้สอดเข้าไปใต้เฟอร์นิเจอร์ได้ลึกกว่าเดิม และเข้าถึงพื้นที่แคบได้ดี

รวมถึงด้ามดูดอะลูมิเนียมที่ออกแบบตามหลักการยศาสตร์ สำหรับการทำความสะอาดพื้นที่ทรงพลังและสะดวกสบายที่สามารถปรับมุมองศาได้หลากหลายทำให้เราสามารถบิดเพื่อดูดฝุ่นได้ในมุมแคบ ๆ โดยไม่ต้องยกออกมาเพื่อปรับท่าทางเลยล่ะครับ

โดยรวมในเรื่องการขจัดฝุ่นต้องยอมรับเลยว่า Dyson V12 Detect Slim นั้นออกแบบมาได้ครบเครื่องและเหมาะกับความเป็นเครื่องดูดฝุ่นไร้สายแบบพรีเมี่ยมจริง ๆ ทั้งพลังดูดที่รุนแรงพร้อมปล่อยอากาศบริสุทธิ์กลับคืนมาอีก ส่วนหัวดูดก็มีมาให้เลือกใช้แบบครบถ้วนด้วย

ส่วนวิธีการเทฝุ่นทิ้ง ก็มีกลไกที่เราไม่ต้องสัมผัสกับฝุ่นโดยตรงเลย เพียงแค่ดันที่จับสีแดงด้านล่างไปให้สุด ตัวฝาจะดันฝุ่นและสิ่งสกปรกลงไปในถังขยะได้ทันทีในขั้นตอนเดียว ไม่ต้องกลัวว่าฝุ่นหรืออะไรที่เราดูดมาจะเปรอะมือเราด้วยซ้ำครับ

แบตเตอรี่ Dyson V12 Detect Slim

ปิดท้ายที่เรื่องแบตเตอรี่ Dyson เคลมว่าเครื่องดูดฝุ่นไร้สายนี้สามารถใช้งานต่อเนื่องได้นานถึง 1 ชม. ด้วยแบตเตอรี่เซลล์สุดล้ำ และตัวแบตเตอรี่ก็สามารถถอดออกและเปลี่ยนใส่แบตเตอรี่สำรองเพื่อพลังการทำความสะอาดที่ยาวนานยิ่งขึ้นได้อีกด้วย

ราคาเริ่มต้น 24,090 บาท

เครื่องดูดฝุ่นไร้สาย Dyson V12 Detect Slim มีให้เลือก 2 รุ่นคือ รุ่น Fluffy และ Total Clean (รุ่นที่เรารีวิว) มีราคาดังนี้

  • Dyson V12 Detect Slim รุ่น Fluffy ราคา 24,090 บาท
  • Dyson V12 Detect Slim รุ่น Total Clean ราคา 28,500 บาท

วางจำหน่ายแล้ววันนี้ที่ Dyson.co.th หรือร้าน Dyson Demo สาขาเซ็นทรัลเวิลด์, เซ็นทรัลลาดพร้าว, สยามพารากอนและไอคอนสยามครับ

สรุปแล้ว “นี่แหละเครื่องดูดฝุ่นไร้สายพรีเมี่ยมตัวจริง”

สรุปแล้วเครื่องดูดฝุ่นไร้สาย Dyson V12 Detect Slim ก็จัดเป็นเครื่องดูดฝุ่นไร้สายระดับพรีเมี่ยมของจริง ด้วยเทคโนโลยีระดับสูงทั้งมอเตอร์, เลเซอร์ตรวจจับ, เซ็นเซอร์ตรวจจับฝุ่นในตัว, หน้าจอ LCD และระบบกรองอากาศบริสุทธิ์อีก ครบเครื่องอย่างมากเลยทีเดียวครับ อีกทั้งหัวดูดก็มีให้เลือกหลากหลาย เรียกว่าอยากจะดูดส่วนไหนในบ้านก็ทำได้อย่างหมดจด นอกจากนี้ดีไซน์ยังดูล้ำสมัยและแนวในแบบที่ Dyson ถนัดอีกด้วย ใครที่กำลังมองหาเครื่องดูดฝุ่นไร้สายสักตัวที่ไฮเอนด์ที่สุดเท่าที่จะหาได้ตอนนี้เราว่า Dyson V12 Detect Slim ก็คือคำตอบของคำถามนั้นเลยล่ะครับ!

Adblock test (Why?)


รีวิว Dyson V12 Detect Slim Total Clean เครื่องดูดฝุ่นไร้สายพรีเมี่ยม เทคโนโลยีจัดเต็มทั้งเลเซอร์และเซ็นเซอร์ตรวจจับฝุ่นในเครื่องเดียว - iphone-droid.net
Read More

No comments:

Post a Comment

รีวิว Death Stranding Director's Cut เล่นบน iPad Pro M2 - iPhoneMod

ในที่สุดสาวก Apple อย่างเราก็ได้เล่นเกม Death Stranding เวอร์ชัน Director’s Cut บนอุปกรณ์ Apple กันแล้ว ใครอยากลองเล่นเข้าไปซื้อเกมใน App S...